
แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่เราต้องยอมรับว่า ปารีส แซงต์ แชร์กแมง “ดีขึ้นกว่าเดิม” เมื่อไม่มีคีลียัน เอ็มบัปเป้ อยู่ในทีม
คำว่าดีขึ้นกว่าเดิม อ้างอิงจากผลงานในลีกเอิง ฤดูกาลที่แล้ว ผ่านไป 22 นัดแรก เปแอสเช มี 55 แต้ม แต่ในฤดูกาลนี้ พวกเขามี 56 แต้ม มากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ฤดูกาลที่แล้ว เปิดฤดูกาลมา 5 นัด เปแอสเชก็แพ้แล้ว แต่ในฤดูกาลนี้ จนถึงตรงนี้ 22 นัด เปแอสเชยังไม่แพ้ใครแม้แต่เกมเดียวในลีกเอิง
ถ้านับทั้งยุโรป มีอยู่ 3 ทีม ที่ยังไม่แพ้ใคร คือเปแอสเช, กาลาตาซาราย (ตุรกี) และ เรดสตาร์ เบลเกรด (เซอร์เบีย) แต่ของเปแอสเช มันพิเศษมากๆ เพราะฝรั่งเศสคือลีกใหญ่ระดับท็อปไฟว์ของยุโรป และยิ่งไปกว่านั้น ในประวัติศาสตร์ของลีกเอิง ถ้าเป็นฟุตบอลชาย ยังไม่เคยมีทีมไหนเป็น “The Invincibles” หรือทีมไร้พ่ายมาก่อน
ลียงยุคจูนินโญ่ก็ยังทำไม่ได้ หรือเปแอสเช ตอนที่มีเนย์มาร์-เมสซี่-เอ็มบัปเป้ ก็ยังทำไม่ได้
แต่ก็ไม่แน่ บางทีพวกเขาอาจทำได้ในซีซั่นนี้ ในยุคสมัยของหลุยส์ เอ็นริเก้
คำถามที่น่าสนใจคือ ทั้งๆ ที่เสียนักเตะเวิลด์คลาสอย่างเอ็มบัปเป้ไปให้กับเรอัล มาดริด แต่นอกจากจะไม่ดร็อปลง ทีมยังดูดีขึ้นกว่าเดิมอีก?
หลุยส์ เอ็นริเก้ ผู้จัดการทีมเปแอสเช ให้สัมภาษณ์ว่า “ทีมเราสมดุลขึ้น ทั้งเกมรุกและเกมรับ เมื่อไม่มีเอ็มบัปเป้อยู่ในทีม คือการมีเขาอยู่มันดีอยู่แล้ว แต่พอเขาไม่อยู่ ทีมเราก็ตอบสนองได้ยอดเยี่ยม และเอาจริงๆ นะ ผมต้องการมีนักเตะ 4 คน ที่ยิงได้คนละ 12 ประตู มากกว่า มีนักเตะ 1 คน ที่ยิงได้ 40 ประตู”
เอ็นริเก้มองว่าเอ็มบัปเป้ อาจจะเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกก็จริง แต่พอเขาอยู่ในทีม ทุกคนก็ฝากความหวังไว้ที่เอ็มบัปเป้มากเกินไป จนคนอื่นไม่ยอมก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในทีม ขณะที่ทีมเวิร์กก็ดูมีปัญหา เพราะมีเอ็มบัปเป้คือเป้าหมายเดียวในการส่งบอล การต่อบอลสวยๆ ก็ไม่ค่อยเกิดขึ้น
ในฤดูกาลนี้ (2024-25) สิ่งแรกที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนที่สุดกับเปแอสเช คือการพุ่งทะยานขึ้นมา ของอุสมาน เดมเบเล่
เราเคยได้ยินชื่อของเดมเบเล่มาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยมีครั้งไหน ที่เขาจะระเบิดฟอร์มได้ร้อนแรง และต่อเนื่องขนาดนี้
ย้อนกลับไปในปี 2017 บาร์เซโลน่า จ่ายเงินมหาศาล 105 ล้านยูโร ซื้อเดมเบเล่ มาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โดยชาบี เอร์นันเดซ เคยพูดถึงเดมเบเล่เอาไว้ว่า “ถ้าเราใช้เขาได้อย่างถูกวิธี นักเตะคนนี้ สามารถก้าวไปเป็นเบอร์หนึ่งของโลกได้”
พรสวรรค์มี ใช่ แต่ปัญหาของเดมเบเล่ที่บาร์เซโลน่าคือเขาเจออาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนัก ลงปั๊บ ก็เจ็บอีก เขาอยู่บาร์ซ่า 6 ฤดูกาล แต่ได้รับบาดเจ็บรวม 14 ครั้ง และต้องรักษาตัว รวมแล้ว 784 วัน ว่าง่ายๆ เจ็บอย่างเดียว ก็เกิน 2 ปีแล้ว
จริงๆ บาร์ซ่า ก็อยากเก็บเดมเบเล่ไว้ต่อ พร้อมต่อสัญญากันไปยาวๆ แต่ในช่วงซัมเมอร์ปี 2023 ตอนที่เดมเบเล่ เหลือสัญญาอีก 1 ปีกับสโมสร เขามีอ็อปชั่นพิเศษ ถ้าหากมีสโมสรไหนยื่นข้อเสนอเข้ามา 50.4 ล้านยูโร ต้องบังคับให้บาร์เซโลน่าปล่อยตัว
สุดท้ายเดมเบเล่ ไปเจรจานอกรอบกับเปแอสเช ให้ยื่นข้อเสนอเข้ามา บาร์ซ่าทำอะไรไม่ได้ เลยต้องปล่อยตัวไปในราคานี้ ขาดทุนไปครึ่งหนึ่ง และพวกเขาก็ไม่มีทางเลือก ต้องใช้ปีกที่มีอยู่ ทั้งลามีน ยามาล และ ราฟินญ่า แทนที่
พอย้ายมาอยู่เปแอสเช ในฤดูกาลแรก (2023-24) หลุยส์ เอ็นริเก้ จับเขายืนปีกขวาในตำแหน่งถนัดในแผน 4-3-3 และมีผลงานกลางๆ คือ ยิง 3 แอสซิสต์ 8
แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลที่สอง (2024-25) พอเอ็มบัปเป้ย้ายออกไป หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็ทดลองเอาหลายคน มายืนเป็นกองหน้าเบอร์ 9 แทน ไม่ว่าจะเป็น มาร์โก อเซนซิโอ, อี คัง-อิน หรือ กอนซาโล่ รามอส เล่นทาร์เก็ตแมนบ้าง False 9 บ้าง แต่สุดท้ายเขาก็มาค้นพบว่า เดมเบเล่นี่แหละ สามารถเล่นกองหน้าตัวเป้าได้ดีมากๆ
เดมเบเล่ ที่เรารู้จักกันคือปีกความเร็วสูง ชอบใช้เทคนิคในการกระชากริมเส้น แต่หลุยส์ เอ็นริเก้ มาสังเกตว่า เดมเบเล่ มีเซนส์ในการจบสกอร์ที่ดีมาก ดังนั้นแทนที่จะให้ใช้แรงเยอะๆ ในการวิ่งไต่เส้น ก็เก็บพลังเอาไว้ คอยยิงประตูหน้าโกล์ดีกว่า
หลุยส์ เอ็นริเก้ กล่าวว่า “เราทุกคนรู้ว่า เดมเบเล่ มีคุณภาพที่ด้านข้าง แต่เรารู้กันแล้วตอนนี้ ว่าเขามีคุณภาพตอนเล่นตรงกลางด้วย”
หน้าที่ของเดมเบเล่ในฤดูกาลนี้ เปลี่ยนไปชัดเจน จากคนที่เน้นแอสซิสต์ มาเป็นเน้นยิงประตูแทน
ตัวเขาเองก็ดูแฮปปี้ จากปีก่อน เวลาเล่นฟุตบอลต้องมองหาเอ็มบัปเป้ตลอดเวลา มาปีนี้ไม่ต้องทำแบบนั้นแล้ว แต่สามารถรอเข้าฮอส หรือ กระชากเข้าไปยิงเองได้เลย
ถ้าให้นึกถึงสไตล์ที่ใกล้เคียงที่สุด คือเธียร์รี่ อองรี ตอนอยู่อาร์เซน่อล นั่นคือเล่นกองหน้า แต่ได้อิสระในการโยกไปริมเส้นได้
เกมที่เปแอสเช ชนะ โมนาโก 4-1 ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นัดนี้เดมเบเล่ยิง 2 ประตู ประตูแรก เขาอยู่ที่ริมเส้นด้านขวา รับบอลจากอัชราฟ ฮาคิมี่ ก่อนกระชากตัดเข้าในแล้วยิงเสียบมุม ส่วนประตูที่สอง เขารอบอลอยู่ในกรอบ 6 หลา พอนูโน่ เมนเดส ครอสเข้ามา เขาก็แค่ชาร์จเข้าไป
จะเห็นว่า 2 ลูกที่ยิงโมนาโก เป็นสไตล์ที่แตกต่างกัน โซโล่ยิงเอง กับ รอเข้าชาร์จ มันแสดงให้เห็นว่า หลุยส์ เอ็นริเก้ ให้อิสระกับเดมเบเล่มากขนาดนั้น จะยืนตรงไหนก็ได้ เล่นด้วยวิธีไหนก็ได้ ขอแค่ยิงได้เป็นพอ
เมื่อค้นพบตำแหน่งที่ใช่ เดมเบเล่ ยิงประตูไม่หยุด เขายิงแฮตทริกใส่สตุ๊ตการ์ตในแชมเปี้ยนส์ลีก แล้วยิงแฮตทริกใส่แบรสต์ ในลีกเอิงต่อทันที กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ที่ทำแฮตทริกได้ 2 เกมติดต่อกัน สถิตินี้แม้แต่เอ็มบัปเป้, อิบราฮิโมวิช หรือ คาวานี่ ก็ยังไม่เคยทำได้
รวมถึงสร้างสถิติเป็นนักเตะคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์เปแอสเช ที่ยิงประตูได้ “8 เกมติดต่อกัน” ต่อจาก คาร์ลอส เบียงคี่, เอ็มบัปเป้ และ เนย์มาร์
สถิติแล้ว สถิติเล่า ที่เขาสร้างขึ้นมาในแต่ละวีก ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ร้อนแรงที่สุดในยุโรป
จากนักเตะที่บาดเจ็บประจำ ปัจจุบันเดมเบเล่ ไม่เจ็บไม่ป่วยอีกแล้ว ลงเล่นได้ต่อเนื่อง ร่างกายสมบูรณ์เหลือเชื่อ ชนิดที่แฟนๆ บาร์เซโลน่าต้องมึนไปเลย ว่านี่มันคือนักเตะคนเดียวกับที่ชอบเจ็บป่วยตอนอยู่กับเราหรือเปล่า
ตั้งแต่เดมเบเล่ เล่นฟุตบอลมาในชีวิตนี้ เขาเคยยิงประตูในลีกได้สูงสุด 12 ลูก ในฤดูกาลเดียว แต่ในซีซั่นนี้ เขายิงไปแล้ว 16 ลูก! ทั้งๆ ที่ยังเหลือเกมให้ลงเล่นในลีกเอิงถึง 12 เกม แปลว่าน่าจะทำลายสถิติเดิมของตัวเอง เพิ่มไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่แค่ยิงเยอะ แต่เดมเบเล่ ยังมีความกราดเกรี้ยวและกระหายที่จะระเบิดฟอร์ม ยิ่งกว่าเดิมมากๆ ตัวอย่างเช่น ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ ที่ถล่มแบรสต์ 3-0 เดมเบเล่ ยิงได้ 2 ลูกในเกมนั้น แต่พอจบเกม เขาเดินหน้ามุ่ยมายังห้องแต่งตัว ไม่ยิ้ม ไม่เฮฮา จนเพื่อนๆ ต้องถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า
เดมเบเล่ตอบกลับไปว่า “ฉันน่าจะยิงได้ 4 ลูกในเกมนี้” เห็นได้ชัดเลยว่า แพสชั่นของเขาตอนนี้ มันพุ่งทะยานมาก
เมื่อเปแอสเช ค้นพบแล้วว่า เดมเบเล่ เล่นหน้าเป้าได้เยี่ยม ในตลาดซื้อขาย พวกเขาก็จ่ายเงินไปซื้อตัวริมเส้นมาเพื่อคอยป้อนบอลให้ เริ่มตั้งแต่ เจ้าหนูวันเดอร์คิด เดซีเร่ ดูเอ้ จากแรนส์ (60 ล้านยูโร) ตามด้วย ควิชา ควารัตสเคเลีย เทพจอร์เจีย จากนาโปลี (70 ล้านยูโร) ยิ่งรวมกับตัวที่มีอยู่แล้ว อย่างแบรดลีย์ บาร์โคล่า ทำให้เปแอสเช เป็นทีมที่มีอ็อปชั่นริมเส้น น่ากลัวที่สุดทีมหนึ่งในยุโรป
ยิ่งไปกว่านั้น จะเห็นว่าผู้บริหารของ เปแอสเช ก็คอยซัพพอร์ทการทำงานของโค้ชเป็นอย่างดี อยากได้ตำแหน่งไหนก็ซื้อให้ เสียใครไป ก็ซื้อคนใหม่มา
การพุ่งทะยานของเดมเบเล่เป็นปัจจัยที่สำคัญ แต่การบริหารทีมที่ยอดเยี่ยมของหลุยส์ เอ็นริเก้ ก็เกี่ยวข้องโดยตรงเช่นกัน กับฟอร์มอันร้อนแรงของเปแอสเชในตอนนี้
ขั้นแรก เขาให้โอกาสผู้เล่นอย่างทั่วถึง มีนักเตะมากถึง 20 คน ที่ได้ลงเล่นเกินกว่า 10 นัดในฤดูกาลนี้ โดยคนที่ได้ลงเยอะที่สุด คือ อี-คัง อิน สตาร์ชาวเกาหลีใต้ กับ แบรดลีย์ บาร์โคล่า ที่ได้เล่น 36 นัดเท่ากัน
ขั้นที่สอง คือ หลุยส์ เอ็นริเก้ สร้างเปแอสเชให้เล่นเป็นทีมมากขึ้น
เอริค รอย เฮดโค้ชของแบรสต์ ที่โดนเปแอสเขี่ยตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีก อธิบายว่า “พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าฤดูกาลที่แล้ว”
ขณะที่หนังสือพิมพ์เลกิ๊ป ระบุว่า “เปแอสเช ณ ตอนนี้ อาจไม่มีนักเตะทักษะสูงระดับโลก อย่างเนย์มาร์ หรือ เอ็มบัปเป้ แต่พวกเขามีความหลากหลายมากกว่า อ็อปชั่นของทีมตอนนี้เยอะมาก จนยากที่คู่แข่งจะรับมือไหว”
และ ขั้นที่สาม ที่ต้องให้เครดิตกับหลุยส์ เอ็นริเก้ คือนอกจากจะวางแท็กติกได้ดีแล้ว ยังมีความ “เฮี้ยบ” ในการคุมทีมอีกด้วย
กรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือในช่วงต้นฤดูกาล มีจังหวะที่เดมเบเล่ เล่นผิดพลาด ทำให้ในช่วงมีตติ้ง เอ็นริเก้ก็วิจารณ์ตรงๆ ต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมทั้งหมด ปรากฏว่าเดมเบเล่ มีรีแอ็กชั่นตอบโต้อย่างไม่เหมาะสม
พอเดมเบเล่มีปฏิกริยาดังนั้น หลุยส์ เอ็นริเก้ สั่งดร็อปเดมเบเล่ทันที ไม่ใส่ชื่อทั้งตัวจริง และตัวสำรอง ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก กับอาร์เซน่อล ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า คุณจะล้ำเส้นโค้ชไม่ได้
คือเกมใหญ่ขนาดนั้น เจออาร์เซน่อล เป็นนัดที่มีความหมายจะตาย เขากล้าดร็อปนักเตะคีย์แมนเฉยเลย ซึ่งบทสรุปเกมนั้น เปแอสเชแพ้อาร์เซน่อล แต่หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็เชื่อว่ามันคุ้มค่า เพราะในภายหลังเดมเบเล่ก็มาขอโทษเขา ที่ทำพฤติกรรมไม่ดีออกไป
หรืออีกครั้งหนึ่ง คือในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก ที่เปแอสเช แพ้ บาเยิร์น มิวนิค 1-0 นัดนั้น เดมเบเล่ โดนไล่ออกจากสนาม ปรากฏว่า อีก 2 เกมต่อมา ในลีกเอิง ที่เปแอสเชเจอกับน็องต์ และ โอแซร์ หลุยส์ เอ็นริเก้ สั่งดร็อปเดมเบเล่เป็นตัวสำรองทั้ง 2 นัด เพื่อให้เรียกสติและอย่าทำพลาดแบบเดิมอีก แม้ทีมจะต้องหลุดเสมอทั้ง 2 เกม แต่หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็ยังคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะทำ
นี่คือคาแรคเตอร์ของหลุยส์ เอ็นริเก้ ที่ทำให้ลูกทีมได้เห็นว่า ต่อให้คุณเป็นซูเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่งของทีม แต่ถ้าไม่เคารพโค้ช หรือไม่มีสมาธิเมื่อไหร่ คุณโดนดร็อปได้เสมอ นักเตะทุกคนอยู่ในบรรทัดฐานเดียวกันหมด
สถานการณ์ในฤดูกาลนี้ของเปแอสเช พวกเขาแบเบอร์ ได้แชมป์ลีกเอิงแน่ๆ เพราะมีแต้มห่างจากอันดับ 2 อยู่ 10 แต้ม ไม่มีเหลี่ยมพลิกได้เลย
ส่วนในเฟรนช์คัพ ก็เป็นเต็งแชมป์ เพราะตอนนี้อยู่ในรอบควอเตอร์ไฟนอล แถมจับสลากเจอทีมดิวิชั่น 4 อีกต่างหาก คือดวงแข็งสุดๆ
ถ้วยที่เปแอสเช จะโฟกัสมากที่สุด นับจากวันนี้ คือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โทรฟี่ที่พวกเขายังไม่เคยไปถึงตำแหน่งแชมป์แม้แต่ครั้งเดียว
แต่แน่นอน มันเป็นงานที่สาหัสทีเดียว เพราะต้องปะทะกับลิเวอร์พูล จ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
นี่เป็นเกมคู่เอกของแชมเปี้ยนส์ลีกในรอบนี้ เพราะทั้งสองทีม คือจ่าฝูงของลีกตัวเอง และ มีนักเตะที่ระเบิดฟอร์มสุดยอดทั้งคู่ อย่างโม ซาลาห์ กับ อุสมาน เดมเบเล่ ดังนั้นการันตีได้เลย ว่าจะเป็นเกมที่สนุกมากแน่นอน
สำนักสถิติอ็อปต้า ระบุว่าลิเวอร์พูล เป็นเต็งหนึ่งที่จะได้แชมป์ยุโรป โอกาสได้แชมป์อยู่ที่ 17.2% ส่วน เปแอสเชอยู่ เต็ง 6 เปอร์เซ็นต์แชมป์อยู่ที่ 8.8%
การเจอกันรอบนี้ ลิเวอร์พูลเป็นต่อนิดๆ ด้วยเรื่องประสบการณ์ของผู้เล่น แต่ฝั่งเปแอสเชก็พร้อมลุยแน่นอน นาทีนี้ พวกเขาไม่มาเกรงกลัวใครอีกแล้ว
สถิติที่น่าสนใจเล็กๆ ในการเจอกันของคู่นี้ คือ เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ทั้งคู่เจอกันในเวทียุโรป ต้องมีทีมใดทีมหนึ่ง ผ่านเข้าชิงเสมอ
ปี 1997 ทั้งคู่เจอกัน ในถ้วยคัพวินเนอร์สคัพ รอบรองชนะเลิศ เปแอสเชชนะหงส์แดงได้ และได้ผ่านเข้าชิง
ปี 2019 ทั้งคู่เจอกัน ในแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม และสุดท้ายลิเวอร์พูลได้เข้าชิงถ้วยใหญ่
การจับสลากมาเจอกัน อาจเป็นเหมือนโชคชะตาบางอย่างที่ กำหนดให้ทีมใดทีมหนึ่งประสบความสำเร็จสูงสุดเลยก็ได้ ใครจะรู้
สำหรับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในฤดูกาล 2024-25 ยุคสมัยที่ไม่มีเอ็มบัปเป้ พวกเขาดูอันตรายรอบด้านขึ้น และที่สำคัญคือ มีทีมเวิร์กมากขึ้น
ลีกเอิงไม่พลาดแน่ เฟรนช์คัพก็คงไม่พลาดเช่นกัน เหลือแต่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกนี่ล่ะ ที่ดูเป็นภารกิจที่ยากที่สุด
เมื่อไม่มี กองหน้าเวิลด์คลาสอย่างเอ็มบัปเป้ คำถามคือหลุยส์ เอ็นริเก้ จะทำให้ทีมก้าวไปไกลได้ขนาดไหน
อุสมาน เดมเบเล่ จะช่วยทีม ฝ่ากำแพงรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปได้หรือไม่
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และพรรคพวกจะเป็นคนให้คำตอบกับปารีส แซงต์ แชร์กแมงครับ
คำว่าดีขึ้นกว่าเดิม อ้างอิงจากผลงานในลีกเอิง ฤดูกาลที่แล้ว ผ่านไป 22 นัดแรก เปแอสเช มี 55 แต้ม แต่ในฤดูกาลนี้ พวกเขามี 56 แต้ม มากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ฤดูกาลที่แล้ว เปิดฤดูกาลมา 5 นัด เปแอสเชก็แพ้แล้ว แต่ในฤดูกาลนี้ จนถึงตรงนี้ 22 นัด เปแอสเชยังไม่แพ้ใครแม้แต่เกมเดียวในลีกเอิง
ถ้านับทั้งยุโรป มีอยู่ 3 ทีม ที่ยังไม่แพ้ใคร คือเปแอสเช, กาลาตาซาราย (ตุรกี) และ เรดสตาร์ เบลเกรด (เซอร์เบีย) แต่ของเปแอสเช มันพิเศษมากๆ เพราะฝรั่งเศสคือลีกใหญ่ระดับท็อปไฟว์ของยุโรป และยิ่งไปกว่านั้น ในประวัติศาสตร์ของลีกเอิง ถ้าเป็นฟุตบอลชาย ยังไม่เคยมีทีมไหนเป็น “The Invincibles” หรือทีมไร้พ่ายมาก่อน
ลียงยุคจูนินโญ่ก็ยังทำไม่ได้ หรือเปแอสเช ตอนที่มีเนย์มาร์-เมสซี่-เอ็มบัปเป้ ก็ยังทำไม่ได้
แต่ก็ไม่แน่ บางทีพวกเขาอาจทำได้ในซีซั่นนี้ ในยุคสมัยของหลุยส์ เอ็นริเก้
คำถามที่น่าสนใจคือ ทั้งๆ ที่เสียนักเตะเวิลด์คลาสอย่างเอ็มบัปเป้ไปให้กับเรอัล มาดริด แต่นอกจากจะไม่ดร็อปลง ทีมยังดูดีขึ้นกว่าเดิมอีก?
หลุยส์ เอ็นริเก้ ผู้จัดการทีมเปแอสเช ให้สัมภาษณ์ว่า “ทีมเราสมดุลขึ้น ทั้งเกมรุกและเกมรับ เมื่อไม่มีเอ็มบัปเป้อยู่ในทีม คือการมีเขาอยู่มันดีอยู่แล้ว แต่พอเขาไม่อยู่ ทีมเราก็ตอบสนองได้ยอดเยี่ยม และเอาจริงๆ นะ ผมต้องการมีนักเตะ 4 คน ที่ยิงได้คนละ 12 ประตู มากกว่า มีนักเตะ 1 คน ที่ยิงได้ 40 ประตู”
เอ็นริเก้มองว่าเอ็มบัปเป้ อาจจะเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกก็จริง แต่พอเขาอยู่ในทีม ทุกคนก็ฝากความหวังไว้ที่เอ็มบัปเป้มากเกินไป จนคนอื่นไม่ยอมก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในทีม ขณะที่ทีมเวิร์กก็ดูมีปัญหา เพราะมีเอ็มบัปเป้คือเป้าหมายเดียวในการส่งบอล การต่อบอลสวยๆ ก็ไม่ค่อยเกิดขึ้น
ในฤดูกาลนี้ (2024-25) สิ่งแรกที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนที่สุดกับเปแอสเช คือการพุ่งทะยานขึ้นมา ของอุสมาน เดมเบเล่
เราเคยได้ยินชื่อของเดมเบเล่มาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยมีครั้งไหน ที่เขาจะระเบิดฟอร์มได้ร้อนแรง และต่อเนื่องขนาดนี้
ย้อนกลับไปในปี 2017 บาร์เซโลน่า จ่ายเงินมหาศาล 105 ล้านยูโร ซื้อเดมเบเล่ มาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โดยชาบี เอร์นันเดซ เคยพูดถึงเดมเบเล่เอาไว้ว่า “ถ้าเราใช้เขาได้อย่างถูกวิธี นักเตะคนนี้ สามารถก้าวไปเป็นเบอร์หนึ่งของโลกได้”
พรสวรรค์มี ใช่ แต่ปัญหาของเดมเบเล่ที่บาร์เซโลน่าคือเขาเจออาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนัก ลงปั๊บ ก็เจ็บอีก เขาอยู่บาร์ซ่า 6 ฤดูกาล แต่ได้รับบาดเจ็บรวม 14 ครั้ง และต้องรักษาตัว รวมแล้ว 784 วัน ว่าง่ายๆ เจ็บอย่างเดียว ก็เกิน 2 ปีแล้ว
จริงๆ บาร์ซ่า ก็อยากเก็บเดมเบเล่ไว้ต่อ พร้อมต่อสัญญากันไปยาวๆ แต่ในช่วงซัมเมอร์ปี 2023 ตอนที่เดมเบเล่ เหลือสัญญาอีก 1 ปีกับสโมสร เขามีอ็อปชั่นพิเศษ ถ้าหากมีสโมสรไหนยื่นข้อเสนอเข้ามา 50.4 ล้านยูโร ต้องบังคับให้บาร์เซโลน่าปล่อยตัว
สุดท้ายเดมเบเล่ ไปเจรจานอกรอบกับเปแอสเช ให้ยื่นข้อเสนอเข้ามา บาร์ซ่าทำอะไรไม่ได้ เลยต้องปล่อยตัวไปในราคานี้ ขาดทุนไปครึ่งหนึ่ง และพวกเขาก็ไม่มีทางเลือก ต้องใช้ปีกที่มีอยู่ ทั้งลามีน ยามาล และ ราฟินญ่า แทนที่
พอย้ายมาอยู่เปแอสเช ในฤดูกาลแรก (2023-24) หลุยส์ เอ็นริเก้ จับเขายืนปีกขวาในตำแหน่งถนัดในแผน 4-3-3 และมีผลงานกลางๆ คือ ยิง 3 แอสซิสต์ 8
แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลที่สอง (2024-25) พอเอ็มบัปเป้ย้ายออกไป หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็ทดลองเอาหลายคน มายืนเป็นกองหน้าเบอร์ 9 แทน ไม่ว่าจะเป็น มาร์โก อเซนซิโอ, อี คัง-อิน หรือ กอนซาโล่ รามอส เล่นทาร์เก็ตแมนบ้าง False 9 บ้าง แต่สุดท้ายเขาก็มาค้นพบว่า เดมเบเล่นี่แหละ สามารถเล่นกองหน้าตัวเป้าได้ดีมากๆ
เดมเบเล่ ที่เรารู้จักกันคือปีกความเร็วสูง ชอบใช้เทคนิคในการกระชากริมเส้น แต่หลุยส์ เอ็นริเก้ มาสังเกตว่า เดมเบเล่ มีเซนส์ในการจบสกอร์ที่ดีมาก ดังนั้นแทนที่จะให้ใช้แรงเยอะๆ ในการวิ่งไต่เส้น ก็เก็บพลังเอาไว้ คอยยิงประตูหน้าโกล์ดีกว่า
หลุยส์ เอ็นริเก้ กล่าวว่า “เราทุกคนรู้ว่า เดมเบเล่ มีคุณภาพที่ด้านข้าง แต่เรารู้กันแล้วตอนนี้ ว่าเขามีคุณภาพตอนเล่นตรงกลางด้วย”
หน้าที่ของเดมเบเล่ในฤดูกาลนี้ เปลี่ยนไปชัดเจน จากคนที่เน้นแอสซิสต์ มาเป็นเน้นยิงประตูแทน
ตัวเขาเองก็ดูแฮปปี้ จากปีก่อน เวลาเล่นฟุตบอลต้องมองหาเอ็มบัปเป้ตลอดเวลา มาปีนี้ไม่ต้องทำแบบนั้นแล้ว แต่สามารถรอเข้าฮอส หรือ กระชากเข้าไปยิงเองได้เลย
ถ้าให้นึกถึงสไตล์ที่ใกล้เคียงที่สุด คือเธียร์รี่ อองรี ตอนอยู่อาร์เซน่อล นั่นคือเล่นกองหน้า แต่ได้อิสระในการโยกไปริมเส้นได้
เกมที่เปแอสเช ชนะ โมนาโก 4-1 ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นัดนี้เดมเบเล่ยิง 2 ประตู ประตูแรก เขาอยู่ที่ริมเส้นด้านขวา รับบอลจากอัชราฟ ฮาคิมี่ ก่อนกระชากตัดเข้าในแล้วยิงเสียบมุม ส่วนประตูที่สอง เขารอบอลอยู่ในกรอบ 6 หลา พอนูโน่ เมนเดส ครอสเข้ามา เขาก็แค่ชาร์จเข้าไป
จะเห็นว่า 2 ลูกที่ยิงโมนาโก เป็นสไตล์ที่แตกต่างกัน โซโล่ยิงเอง กับ รอเข้าชาร์จ มันแสดงให้เห็นว่า หลุยส์ เอ็นริเก้ ให้อิสระกับเดมเบเล่มากขนาดนั้น จะยืนตรงไหนก็ได้ เล่นด้วยวิธีไหนก็ได้ ขอแค่ยิงได้เป็นพอ
เมื่อค้นพบตำแหน่งที่ใช่ เดมเบเล่ ยิงประตูไม่หยุด เขายิงแฮตทริกใส่สตุ๊ตการ์ตในแชมเปี้ยนส์ลีก แล้วยิงแฮตทริกใส่แบรสต์ ในลีกเอิงต่อทันที กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ที่ทำแฮตทริกได้ 2 เกมติดต่อกัน สถิตินี้แม้แต่เอ็มบัปเป้, อิบราฮิโมวิช หรือ คาวานี่ ก็ยังไม่เคยทำได้
รวมถึงสร้างสถิติเป็นนักเตะคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์เปแอสเช ที่ยิงประตูได้ “8 เกมติดต่อกัน” ต่อจาก คาร์ลอส เบียงคี่, เอ็มบัปเป้ และ เนย์มาร์
สถิติแล้ว สถิติเล่า ที่เขาสร้างขึ้นมาในแต่ละวีก ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ร้อนแรงที่สุดในยุโรป
จากนักเตะที่บาดเจ็บประจำ ปัจจุบันเดมเบเล่ ไม่เจ็บไม่ป่วยอีกแล้ว ลงเล่นได้ต่อเนื่อง ร่างกายสมบูรณ์เหลือเชื่อ ชนิดที่แฟนๆ บาร์เซโลน่าต้องมึนไปเลย ว่านี่มันคือนักเตะคนเดียวกับที่ชอบเจ็บป่วยตอนอยู่กับเราหรือเปล่า
ตั้งแต่เดมเบเล่ เล่นฟุตบอลมาในชีวิตนี้ เขาเคยยิงประตูในลีกได้สูงสุด 12 ลูก ในฤดูกาลเดียว แต่ในซีซั่นนี้ เขายิงไปแล้ว 16 ลูก! ทั้งๆ ที่ยังเหลือเกมให้ลงเล่นในลีกเอิงถึง 12 เกม แปลว่าน่าจะทำลายสถิติเดิมของตัวเอง เพิ่มไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่แค่ยิงเยอะ แต่เดมเบเล่ ยังมีความกราดเกรี้ยวและกระหายที่จะระเบิดฟอร์ม ยิ่งกว่าเดิมมากๆ ตัวอย่างเช่น ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ ที่ถล่มแบรสต์ 3-0 เดมเบเล่ ยิงได้ 2 ลูกในเกมนั้น แต่พอจบเกม เขาเดินหน้ามุ่ยมายังห้องแต่งตัว ไม่ยิ้ม ไม่เฮฮา จนเพื่อนๆ ต้องถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า
เดมเบเล่ตอบกลับไปว่า “ฉันน่าจะยิงได้ 4 ลูกในเกมนี้” เห็นได้ชัดเลยว่า แพสชั่นของเขาตอนนี้ มันพุ่งทะยานมาก
เมื่อเปแอสเช ค้นพบแล้วว่า เดมเบเล่ เล่นหน้าเป้าได้เยี่ยม ในตลาดซื้อขาย พวกเขาก็จ่ายเงินไปซื้อตัวริมเส้นมาเพื่อคอยป้อนบอลให้ เริ่มตั้งแต่ เจ้าหนูวันเดอร์คิด เดซีเร่ ดูเอ้ จากแรนส์ (60 ล้านยูโร) ตามด้วย ควิชา ควารัตสเคเลีย เทพจอร์เจีย จากนาโปลี (70 ล้านยูโร) ยิ่งรวมกับตัวที่มีอยู่แล้ว อย่างแบรดลีย์ บาร์โคล่า ทำให้เปแอสเช เป็นทีมที่มีอ็อปชั่นริมเส้น น่ากลัวที่สุดทีมหนึ่งในยุโรป
ยิ่งไปกว่านั้น จะเห็นว่าผู้บริหารของ เปแอสเช ก็คอยซัพพอร์ทการทำงานของโค้ชเป็นอย่างดี อยากได้ตำแหน่งไหนก็ซื้อให้ เสียใครไป ก็ซื้อคนใหม่มา
การพุ่งทะยานของเดมเบเล่เป็นปัจจัยที่สำคัญ แต่การบริหารทีมที่ยอดเยี่ยมของหลุยส์ เอ็นริเก้ ก็เกี่ยวข้องโดยตรงเช่นกัน กับฟอร์มอันร้อนแรงของเปแอสเชในตอนนี้
ขั้นแรก เขาให้โอกาสผู้เล่นอย่างทั่วถึง มีนักเตะมากถึง 20 คน ที่ได้ลงเล่นเกินกว่า 10 นัดในฤดูกาลนี้ โดยคนที่ได้ลงเยอะที่สุด คือ อี-คัง อิน สตาร์ชาวเกาหลีใต้ กับ แบรดลีย์ บาร์โคล่า ที่ได้เล่น 36 นัดเท่ากัน
ขั้นที่สอง คือ หลุยส์ เอ็นริเก้ สร้างเปแอสเชให้เล่นเป็นทีมมากขึ้น
เอริค รอย เฮดโค้ชของแบรสต์ ที่โดนเปแอสเขี่ยตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีก อธิบายว่า “พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าฤดูกาลที่แล้ว”
ขณะที่หนังสือพิมพ์เลกิ๊ป ระบุว่า “เปแอสเช ณ ตอนนี้ อาจไม่มีนักเตะทักษะสูงระดับโลก อย่างเนย์มาร์ หรือ เอ็มบัปเป้ แต่พวกเขามีความหลากหลายมากกว่า อ็อปชั่นของทีมตอนนี้เยอะมาก จนยากที่คู่แข่งจะรับมือไหว”
และ ขั้นที่สาม ที่ต้องให้เครดิตกับหลุยส์ เอ็นริเก้ คือนอกจากจะวางแท็กติกได้ดีแล้ว ยังมีความ “เฮี้ยบ” ในการคุมทีมอีกด้วย
กรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือในช่วงต้นฤดูกาล มีจังหวะที่เดมเบเล่ เล่นผิดพลาด ทำให้ในช่วงมีตติ้ง เอ็นริเก้ก็วิจารณ์ตรงๆ ต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมทั้งหมด ปรากฏว่าเดมเบเล่ มีรีแอ็กชั่นตอบโต้อย่างไม่เหมาะสม
พอเดมเบเล่มีปฏิกริยาดังนั้น หลุยส์ เอ็นริเก้ สั่งดร็อปเดมเบเล่ทันที ไม่ใส่ชื่อทั้งตัวจริง และตัวสำรอง ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก กับอาร์เซน่อล ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า คุณจะล้ำเส้นโค้ชไม่ได้
คือเกมใหญ่ขนาดนั้น เจออาร์เซน่อล เป็นนัดที่มีความหมายจะตาย เขากล้าดร็อปนักเตะคีย์แมนเฉยเลย ซึ่งบทสรุปเกมนั้น เปแอสเชแพ้อาร์เซน่อล แต่หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็เชื่อว่ามันคุ้มค่า เพราะในภายหลังเดมเบเล่ก็มาขอโทษเขา ที่ทำพฤติกรรมไม่ดีออกไป
หรืออีกครั้งหนึ่ง คือในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก ที่เปแอสเช แพ้ บาเยิร์น มิวนิค 1-0 นัดนั้น เดมเบเล่ โดนไล่ออกจากสนาม ปรากฏว่า อีก 2 เกมต่อมา ในลีกเอิง ที่เปแอสเชเจอกับน็องต์ และ โอแซร์ หลุยส์ เอ็นริเก้ สั่งดร็อปเดมเบเล่เป็นตัวสำรองทั้ง 2 นัด เพื่อให้เรียกสติและอย่าทำพลาดแบบเดิมอีก แม้ทีมจะต้องหลุดเสมอทั้ง 2 เกม แต่หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็ยังคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะทำ
นี่คือคาแรคเตอร์ของหลุยส์ เอ็นริเก้ ที่ทำให้ลูกทีมได้เห็นว่า ต่อให้คุณเป็นซูเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่งของทีม แต่ถ้าไม่เคารพโค้ช หรือไม่มีสมาธิเมื่อไหร่ คุณโดนดร็อปได้เสมอ นักเตะทุกคนอยู่ในบรรทัดฐานเดียวกันหมด
สถานการณ์ในฤดูกาลนี้ของเปแอสเช พวกเขาแบเบอร์ ได้แชมป์ลีกเอิงแน่ๆ เพราะมีแต้มห่างจากอันดับ 2 อยู่ 10 แต้ม ไม่มีเหลี่ยมพลิกได้เลย
ส่วนในเฟรนช์คัพ ก็เป็นเต็งแชมป์ เพราะตอนนี้อยู่ในรอบควอเตอร์ไฟนอล แถมจับสลากเจอทีมดิวิชั่น 4 อีกต่างหาก คือดวงแข็งสุดๆ
ถ้วยที่เปแอสเช จะโฟกัสมากที่สุด นับจากวันนี้ คือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โทรฟี่ที่พวกเขายังไม่เคยไปถึงตำแหน่งแชมป์แม้แต่ครั้งเดียว
แต่แน่นอน มันเป็นงานที่สาหัสทีเดียว เพราะต้องปะทะกับลิเวอร์พูล จ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
นี่เป็นเกมคู่เอกของแชมเปี้ยนส์ลีกในรอบนี้ เพราะทั้งสองทีม คือจ่าฝูงของลีกตัวเอง และ มีนักเตะที่ระเบิดฟอร์มสุดยอดทั้งคู่ อย่างโม ซาลาห์ กับ อุสมาน เดมเบเล่ ดังนั้นการันตีได้เลย ว่าจะเป็นเกมที่สนุกมากแน่นอน
สำนักสถิติอ็อปต้า ระบุว่าลิเวอร์พูล เป็นเต็งหนึ่งที่จะได้แชมป์ยุโรป โอกาสได้แชมป์อยู่ที่ 17.2% ส่วน เปแอสเชอยู่ เต็ง 6 เปอร์เซ็นต์แชมป์อยู่ที่ 8.8%
การเจอกันรอบนี้ ลิเวอร์พูลเป็นต่อนิดๆ ด้วยเรื่องประสบการณ์ของผู้เล่น แต่ฝั่งเปแอสเชก็พร้อมลุยแน่นอน นาทีนี้ พวกเขาไม่มาเกรงกลัวใครอีกแล้ว
สถิติที่น่าสนใจเล็กๆ ในการเจอกันของคู่นี้ คือ เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ทั้งคู่เจอกันในเวทียุโรป ต้องมีทีมใดทีมหนึ่ง ผ่านเข้าชิงเสมอ
ปี 1997 ทั้งคู่เจอกัน ในถ้วยคัพวินเนอร์สคัพ รอบรองชนะเลิศ เปแอสเชชนะหงส์แดงได้ และได้ผ่านเข้าชิง
ปี 2019 ทั้งคู่เจอกัน ในแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม และสุดท้ายลิเวอร์พูลได้เข้าชิงถ้วยใหญ่
การจับสลากมาเจอกัน อาจเป็นเหมือนโชคชะตาบางอย่างที่ กำหนดให้ทีมใดทีมหนึ่งประสบความสำเร็จสูงสุดเลยก็ได้ ใครจะรู้
สำหรับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในฤดูกาล 2024-25 ยุคสมัยที่ไม่มีเอ็มบัปเป้ พวกเขาดูอันตรายรอบด้านขึ้น และที่สำคัญคือ มีทีมเวิร์กมากขึ้น
ลีกเอิงไม่พลาดแน่ เฟรนช์คัพก็คงไม่พลาดเช่นกัน เหลือแต่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกนี่ล่ะ ที่ดูเป็นภารกิจที่ยากที่สุด
เมื่อไม่มี กองหน้าเวิลด์คลาสอย่างเอ็มบัปเป้ คำถามคือหลุยส์ เอ็นริเก้ จะทำให้ทีมก้าวไปไกลได้ขนาดไหน
อุสมาน เดมเบเล่ จะช่วยทีม ฝ่ากำแพงรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปได้หรือไม่
เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และพรรคพวกจะเป็นคนให้คำตอบกับปารีส แซงต์ แชร์กแมงครับ
More Stories
ด้อยค่าระบบหลัง 3 หรือเปล่า “แม็ค ไกวร์” พูดตรงๆ ถึงแนวทาง “อโมริม” ที่ตอนนี้ไม่เวิร์กอย่างแรง
เหล่าแข้ง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด และ เมืองทอง ยูไนเต็ด เดินทางถึงยังสนามบีจี สเตเดี้ยม เป็นที่เรียบร้อย ก่อนทำศึกบิ๊กแมตช์ ไ…
ข่าวดี.! โรดรี้ เริ่มซ้อมเดี่ยวกับทีมได้แล้ว มีลุ้นคืนสนามท้ายซีซั่น