แฟนบอลลิเวอร์พูลทั่วโลก เริ่มหมดความอดทนกับดาร์วิน นูนเยซ ที่ทิ้งขว้างโอกาสอย่างสิ้นเปลือง ครั้งแล้วครั้งเล่า จากที่ลิเว…


แฟนบอลลิเวอร์พูลทั่วโลก เริ่มหมดความอดทนกับดาร์วิน นูนเยซ ที่ทิ้งขว้างโอกาสอย่างสิ้นเปลือง ครั้งแล้วครั้งเล่า จากที่ลิเวอร์พูลควรชนะวิลล่า สุดท้ายก็เลยจบลงด้วยผลเสมอ
โม ซาลาห์ ยังคงสุดยอดสม่ำเสมอ แต่เขาคนเดียวไม่พอ ที่จะทำให้ทีมชนะได้ นี่คือบทสรุป 24 ข้อ จากเกมที่สนามวิลล่า พาร์ก ในคืนวันพุธ
1) โปรแกรม แอสตัน วิลล่า vs ลิเวอร์พูล ตามจริงต้องแข่งวันที่ 15 มีนาคม แต่ในสัปดาห์นั้น ลิเวอร์พูลมีโปรแกรมคาราบาวคัพ นัดชิงชนะเลิศกับนิวคาสเซิลพอดี
ดังนั้นพรีเมียร์ลีก ต้องหาช่วงเวลาว่างๆ ให้ทั้งคู่ได้ลงแข่งกัน และโชคดี ที่วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ ทั้งสองทีมว่างทั้งคู่ เนื่องจากไม่ต้องเตะเพลย์ออฟ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (ลิเวอร์พูล อันดับ 1 ชปล. – วิลล่า อันดับ 8 ชปล.)
คืออนาคต ไม่รู้ว่าจะมี วันว่างตรงกันแบบนี้อีกตอนไหน พรีเมียร์ลีกก็เลยจัดโปรแกรมให้แข่งกันตอนนี้เลยดีกว่า ซึ่งตอนแรก อูไน เอเมรี่ ประท้วง ขอให้เลื่อน เพราะอยู่ๆ ก็ยัดโปรแกรมเข้ามาอย่างกะทันหันเกินไป และถ้าเลื่อน แปลว่าในเดือนมีนาคม วิลล่าจะได้เตะพรีเมียร์ลีกแค่ 1 นัดตลอดเดือน แต่การประท้วงไม่เป็นผล การแข่งดำเนินต่อไปตามปกติ
2) วิลล่า มีผลงานดีในบอลถ้วย แต่ในบอลลีก อยู่ในช่วงสะดุด ไม่ชนะใคร 4 เกมติดต่อกันแล้ว นัดนี้อูไน เอเมรี่ ส่งมาร์คัส แรชฟอร์ด ลงเล่นเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกเกมแรก
ไลน์อัพ วิลล่า ถือว่าน่ากลัวทีเดียว โอลลี่ วัตกินส์, แรชฟอร์ด, มอร์แกน โรเจอร์ส และ มาร์โก อเซนซิโอ ยืนเป็น 4 ตัวรุก โดยอเซนซิโอ คือเจ้าของแชมป์ยุโรป 3 สมัย ในสมัยเล่นให้กับเรอัล มาดริด ถ้าใครจำกันได้ ในแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงปี 2018 ที่เคียฟ เกมที่เรอัล มาดริด ชนะ ลิเวอร์พูล 3-1 อเซนซิโอคนนี้ ก็ได้ลงสนามด้วย โดยเป็นสำรองลงเล่นนาทีที่ 89 แทน คาริม เบนเซม่า
3) สำหรับลิเวอร์พูล นี่คือช่วง “7 วันอันตราย” เพราะต้องลงเล่น พรีเมียร์ลีก 3 นัดติดกัน กับคู่แข่งที่เขี้ยวๆ ทั้งนั้น เริ่มจาก แอสตัน วิลล่า (19 กุมภาพันธ์) ต่อด้วยแมนฯ ซิตี้ (23 กุมภาพันธ์) และ นิวคาสเซิล (26 กุมภาพันธ์) โดยทั้ง 3 นัด เป็นทีมระดับครึ่งบนของตารางทั้งหมด นี่ถือเป็นบททดสอบที่โหดหินมากๆ ของอาร์เน่อ สล้อธ
แอสตัน วิลล่า เป็นทีมที่แกร่งมากในบ้าน (13 นัด แพ้ 1) ส่วนลิเวอร์พูล ก็แกร่งมากนอกบ้าน (13 นัด แพ้ 0) ดังนั้น นี่เป็นเกมที่สูสีกันมากๆ หงส์แดงเป็นต่อนิดๆ แต่ไม่ได้เยอะ และผลการแข่งสามารถออกได้ทุกหน้า
4) สถิติหนึ่งอย่าง ที่พอจะเป็นข้อได้เปรียบของลิเวอร์พูล คือ อูไน เอเมรี่ เจอหงส์ทีไร มักจะไม่รอดทุกที 12 นัดที่เจอกัน เอเมรี่ชนะลิเวอร์พูลได้แค่ 1 เกมเท่านั้น คือยูโรป้าลีก นัดชิง ปี 2016 เซบีย่า ชนะลิเวอร์พูล 3-1 ที่เหลือคือไม่ชนะเลย
– คุมเซบีย่า แข่งกับลิเวอร์พูล 1 นัด ชนะ 1 นัด
– คุมอาร์เซน่อล แข่งกับลิเวอร์พูล 4 นัด ชนะ 0 นัด
– คุมบียาร์เรอัล แข่งกับลิเวอร์พูล 2 นัด ชนะ 0 นัด
– คุมแอสตัน วิลล่า แข่งกับลิเวอร์พูล 5 นัด ชนะ 0 นัด
win rate หรือเปอร์เซ็นต์ที่เอเมรี่ ชนะลิเวอร์พูล อยู่ที่ 8% ดังนั้นทีมหงส์แดง เป็นทีมที่เอเมรี่ไม่อยากเผชิญหน้าด้วยมากที่สุด
5) ความพร้อมของลิเวอร์พูล ไม่มีโคดี้ กั๊กโป เป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน เพราะยังไม่หายเจ็บ นี่คือความเสียหายมากๆ เพราะกั๊กโปอยู่ในฟอร์มที่ดี เพิ่งได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนมกราคมไปเอง (ก่อนหน้านี้ ซาลาห์ ได้รางวัลนี้ 4 เดือนติดต่อกัน)
จริงๆ มีหลุยส์ ดิอาซ ที่เล่นปีกซ้ายได้ แต่สล้อธ เลือกใช้เคอร์ติส โจนส์ เป็นปีกซ้ายแทน ถือเป็นการตัดสินใจที่เซอร์ไพรส์ดี ซึ่งพอจบเกมปั๊บ สื่อโคลอมเบียเล่นข่าวหนักเลยว่า ดิอาซ เตรียมขอย้ายไปบาร์เซโลน่าหลังจบฤดูกาล เพราะไม่ได้โอกาสลงเล่นอย่างต่อเนื่องทั้งๆ ที่เกมกับวูล์ฟส เขาก็เล่นดีมากแท้ๆ (ยิง 1 แอสซิสต์ 1)
6) แผนการเล่นของลิเวอร์พูล บางครั้งก็จะเป็น 4-3-3 แต่บางสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนเป็น 4-3-1-2 ใช้โชต้า เล่นหน้าคู่กับซาลาห์ คือเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ได้ตายตัว บางครั้งโจนส์จะฉีกไปด้านข้าง แต่หลายครั้ง ก็ถอยลงไปเป็นกองกลาง
7) ลิเวอร์พูลครองเกมได้มากกว่าตั้งแต่แรก และได้ประตูขึ้นนำ 1-0 นาทีที่ 29 จากความผิดพลาดของอันเดรส การ์เซีย แบ็กขวาของวิลล่า ที่จะจ่ายคืนหลังให้เอมิ มาร์ติเนซ แต่ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ โดนดีโอโก้ โชต้า แย่งบอลไปดื้อๆ
พอโชต้าได้บอลปั๊บ กองหลังวิลล่ามึนทันที เพราะมาเสียบอลหน้าโกลตัวเอง สุดท้ายโชต้าถวายพานให้ซาลาห์ ซัดจ่อๆ เข้าประตูไป คือระยะแค่นี้ หน้าโกลโล่งขนาดนี้ ซาลาห์ไม่มีทางพลาดแน่นอน
ตอนที่โชต้าตัดบอลได้ แล้วซาลาห์ยืนรออยู่หน้าประตู กล้องจับภาพให้เห็นฟาน ไดค์ ที่ยืนด้านหลัง ชูมือสองข้างรอเลย เพราะรู้ว่าจังหวะแบบนี้ เข้าอยู่แล้ว
ลูกนี้ต้องชมการ “ช่วยกันเพรส” ของสามนักเตะลิเวอร์พูล คือโชต้า, โจนส์ และ โซโบสไล ที่ไล่บีบ จนการ์เซียไม่มีทางไป ต้องส่งคืนให้นายทวาร ความขยันในการบีบ การเพรสซิ่ง มันมีประโยชน์ตรงนี้
8 ) นี่คือลูกที่ 24 ของซาลาห์ในพรีเมียร์ลีก นำเป็นดาวซัลโวในอังกฤษ และยังนำเป็นดาวซัลโวรองเท้าทองคำยุโรปแบบใสๆ คู่แข่งไม่รู้จะหยุดฟอร์มอันดีเดือดของซาลาห์ได้อย่างไร
สถิติระบุว่า 8 ปีที่ซาลาห์อยู่กับลิเวอร์พูล ฤดูกาลนี้เขาทำประตูได้เยอะที่สุด อันดับ 2 ตั้งแต่ย้ายมาเลยทีเดียว
2017-18 : 32 ลูก
2018-19 : 22 ลูก
2019-20 : 19 ลูก
2020-21 : 22 ลูก
2021-22 : 23 ลูก
2022-23 : 19 ลูก
2023-24 : 18 ลูก
ฤดูกาลนี้ : 24 ลูก
24 ลูก แบบที่ยังเหลือเกมให้ลงเล่นอีก 12 เกม แปลว่าซาลาห์ มีโอกาสยิงได้มากกว่านี้ และมีลุ้นทำลายสถิติ 32 ลูกของตัวเอง ในปีแรกที่ย้ายมาหงส์แดงได้แน่นอน
9) เกมรุกหงส์แดงที่มีซาลาห์ ยังไงก็พอยิงได้ แต่ปัญหาคือเกมรับต่างหาก ในช่วงหลัง หลายทีมที่เจอลิเวอร์พูลใช้วิธีโยนบอมบ์เข้าไป ให้เกิดความสับสน แล้วก็หาจังหวะเก็บตก ประตูตีเสมอ 1-1 ของวิลล่าก็เกิดขึ้นด้วยวิธีนี้ แรชฟอร์ดครอสบอลเข้าไป แนวรับมีความสับสน สุดท้ายโซโบสไลโหม่งบอลไม่ขาด โดนยูริ ตีเลมองส์ ยิงสวนโป้งเดียวเข้าประตูไปเลย
ยูริ ตีเลมองส์ เป็นคนที่ชอบยิงในเกมใหญ่ ประตูเดียวที่เขาทำได้ในซีซั่นนั้น คือประตูที่ยิงอาร์เซน่อล (เสมอ 2-2) หรือถ้าใครจำกันได้ ประตูชัยในเอฟเอคัพ นัดชิง ที่เลสเตอร์ชนะเชลซี 1-0 ก็เป็นตีเลมองส์นี่แหละ ที่ยิงเข้าไปได้อย่างสวยงาม
มันจะมีนักเตะบางคนที่ มักจะระเบิดฟอร์มในเกมใหญ่ เกมสำคัญ ซึ่งตีเลมองส์ เป็นหนึ่งในนั้น
10) เมื่อสกอร์ขยับเป็น 1-1 สถานการณ์ของลิเวอร์พูลเริ่มแย่ลง วิลล่าดูมั่นใจมากขึ้น และนาที 45+3 ทดเจ็บนาทีสุดท้าย ก็เปิดช่องว่างจนได้ ลูก้า ดีญ ครอสบอลให้โอลลี่ วัตกินส์โหม่งเข้าประตูไป วิลล่านำ 2-1
ประตูนี้ มีดราม่านิดๆ เพราะในจังหวะเริ่มเซ็ตเพลย์ โชต้าไปเตะบอลโดนมือ จอห์น แม็คกินน์ กลางสนาม บอลโดนมือแม็คกินน์แน่นอน ทำให้นักเตะลิเวอร์พูลมาประท้วงผู้ตัดสิน ว่าควรจะริบสกอร์ที่เกิดขึ้นหรือไม่
แต่ผู้ตัดสินยึดสกอร์ตามเดิม เพราะเหตุการณ์โดนมืออาจจะเกิดขึ้นจริง และผู้ตัดสินปล่อยไหลไปแล้ว และเพลย์มันก็เกิดขึ้นถึง 30 วินาที ก่อนจะได้ประตู มันนานเกินไป ที่จะย้อนกลับมาริบสกอร์ สุดท้ายวิลล่าจึงขึ้นนำ และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้
11) ปัญหาของลิเวอร์พูลนัดนี้คือ เกมรับพลาด ส่วนเกมรุกก็จบไม่ลง ในครึ่งแรกวิลล่าได้ยิง 3 ครั้ง เข้ากรอบ 2 (เป็น 2 ประตู) ส่วนลิเวอร์พูลได้ยิง 10 ครั้ง เข้ากรอบ 1
วิลล่า มาสู้ด้วยการยืน High Line ให้กองหลังดันขึ้นสูง วิธีการนี้ ทำให้ลิเวอร์พูลมีช่องโต้กลับและได้ลุ้นยิงหลายครั้ง แต่ทุกๆ คน ไม่นับซาลาห์ ยิงทิ้งยิงขว้างกันหมด
12) เกมนี้ดีโอโก้ โชต้า แอสซิสต์ได้ก็จริง แต่ผลงานรวมๆ ถือว่าหลุดฟอร์ม จุดเด่นที่เขามีคือ “ความคม” แท้นัดนี้ กลับทิ้งโอกาสไปเยอะมาก โชต้าได้โอกาสยิง “6 ครั้ง” มากที่สุดในเกมนี้ แต่ไม่เข้ากรอบแม้แต่ครั้งเดียว (มียิงเฉี่ยวคานไป 1 ที) โดยช็อตที่เขาไม่น่าพลาดจริงๆ คือ ช่วงท้ายครึ่งแรก หลุดเดี่ยว แบบเดี่ยวมากๆ แต่ซัดออกข้างไปเลยแบบไม่ได้ลุ้น
โชต้าเล่นไม่ออกจริงๆ เหมือนว่ายังจับจังหวะไม่ถูก ปกติเขาคมกว่านี้มาก สุดท้ายสล้อธเลยต้องเปลี่ยนตัวออกในช่วงกลางครึ่งหลัง
13) ลิเวอร์พูลมาได้ประตูตีเสมอ นาทีที่ 61 จากการโต้กลับเร็ว แม็คอัลลิสเตอร์ตัดบอลได้ปั๊บ แทงให้อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จ่ายต่อให้ซาลาห์ จากนั้นอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เข้าไปยืนรอในจุดที่ถูกต้องที่สุด เขารู้ว่าซาลาห์ต้องจ่ายมาแน่ แล้วพอซาลาห์จ่ายมาปั๊บ เทรนต์ก็ซัดทันที บอลตรงกรอบอยู่แล้ว แต่แฉลบไทโรน มิงส์ ทำให้เปลี่ยนทางไปในมุมที่ยากขึ้น สุดท้ายลอยเข้าประตู หงส์ตีเสมอ 2-2
ลูกนี้ นับเป็นแอสซิสต์ของซาลาห์ คือถ้าอย่างในเกมกับวูล์ฟส ที่ซาลาห์โดนบอล แต่ไปแฉลบกองหลัง (แล้วดิอาซยิงเข้า) แบบนั้นไม่นั้นไม่นับเป็นแอสซิสต์ แต่ลูกนี้เขาจ่ายให้เทรนต์ยิงแฉลบเข้า แบบนี้ถือว่านับ
นี่คือแอสซิสต์ที่ 15 ของซาลาห์ในพรีเมียร์ลีก และเป็นนักเตะที่แอสซิสต์มากที่สุดในทวีปยุโรป สถิติ G/A (Goal+Assist) ของซาลาห์ อยู่ที่ 39 ประตู! จากการลงเล่นแค่ 26 นัดเท่านั้น คือเฉลี่ยแล้ว ใน 1 นัดเข้าจะมีส่วนร่วม ถึง 1.5 ประตู
ฤดูกาลนี้ ซาลาห์สร้างโอกาสให้เพื่อนได้ยิง ถึง 56 ครั้ง มีนักเตะแค่คนเดียวที่มีสถิติดีกว่า คือโคล พาล์มเมอร์ (66 ครั้ง) แต่เพื่อนๆ ยิงทิ้งยิงขว้างกันหมด ถ้าลิเวอร์พูลจะเป็นแชมป์ ซาลาห์คนเดียวแบกทุกอย่างไม่ได้ ตัวรุกคนอื่นๆ ต้องซัพพอร์ทเขามากกว่านี้ด้วย
14) หลังจากตีเสมอได้ 2-2 สล้อธเปลี่ยนผู้เล่นทันที เอาตัวสดๆ ทั้งดาร์วิน นูนเยซ กับ คอนเนอร์ แบรดลีย์ ลงแทนโชต้า กับ เทรนต์ หวังว่าในช่วงเวลาที่เหลือ จะบดยิงลูกที่ 3 ได้
15) ดาร์วิน นูนเยซ ลงสนามมาในนาทีที่ 66 และสัมผัสแรกของเขา คือการยิงแบบไม่มีโกล์ขวางอยู่ แต่เขายิงข้ามคานไปแบบไม่น่าให้อภัยเลย
ในจังหวะนี้ คอนเนอร์ แบรดลีย์ (ตัวสำรอง) จ่ายทะลุช่องให้โซโบสไล ซึ่งโซโบสไล สามารถยิงเองได้ แต่เขาเลือกจ่ายออกข้าง ให้นูนเยซที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า ได้วิ่งมายิงโล่งๆ แต่นูนเยซ ไม่สามารถคอนโทรลบอลได้ ซัดแบบไม่มีเรดาร์ หลุดกรอบไปไกลลิบ
เราจะเห็นว่า แผนของอาร์เน่อ สล้อธ ได้ผลทุกอย่างแล้ว เอาตัวสำรองสองคนลงไป เพื่อฉกฉวยในจังหวะแบบนี้ แต่นูนเยซยิงพลาดเอง โทษใครไม่ได้เลย คือจะอ้างว่ามีตัวประกบอยู่ไม่ไกล ยังไงมันก็ควรยิงได้ดีกว่านั้น คุณคือหัวหอกเบอร์ 9 ของทีมนะ ยิงเรียด ยิงชิพ ยิงแบบไหนก็ได้แค่ให้เข้ากรอบ แต่ไม่ใช่ยิงแบบนี้
โอกาสจะแจ้งมากๆ อีกครั้งของดาร์วิน คือนาทีที่ 74 เขาตัดบอลไทโรน มิงส์ แล้ววิ่งสปรินท์ไปหาบอล โดยมีเอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ออกมาไกลถึงนอกเขตโทษเพื่อตัดบอล จังหวะนี้ ซาลาห์ยืนอย่างโล่ง อยู่ตรงกลาง ถ้าเขาแค่ปาดบอลเข้ามา ซาลาห์ยิงเข้า 100% แต่ดาร์วิน เลือกจะแตะหลบมาร์ติเนซ จนโดนแย่งบอลได้ เสียโอกาสไปอีกครั้งแบบน่าเสียดายสุดๆ
รวมถึงอีกหนึ่งครั้งนาทีที่ 80 จากจังหวะโต้กลับเร็ว อลิสซอนจ่ายบอลยาว ให้ซาลาห์ดูดบอลลงอย่างสวย ก่อนจ่ายต่อให้นูนเยซ นอกจากจะไม่ยิงแล้ว ยังจ่ายบอลเสียอีก ออกหลังไปเองอีกต่างหาก ทิ้งโอกาสดีๆ ไปอีกหน
16) หลังจบเกม อาร์เน่อ สล้อธ ออกมาวิจารณ์นูนเยซตรงๆ เขาบอกว่า “มีนักเตะหนึ่งคนในห้องแต่งตัวที่รู้สึกแย่ ผมคงไม่ต้องบอกนะว่าเป็นใคร จังหวะนั้นโซโบสไลตัดสินใจได้ดีที่สุด เมื่อจ่ายบอลให้เขา มันคือโอกาสทองจริงๆ”
ขณะที่ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ตำนานหงส์แดงก็ใส่ยับเช่นกัน โดยบอกว่า “นูนเยซไม่มีสมาธิกับเกมมากพอ เขาพลาดแบบเลวร้ายมาก เป็นความผิดพลาดที่แย่ที่สุดในปีนี้ จังหวะนั้นโซโบสไลยิงเองได้ แต่เขาเลือกจ่ายบอลให้เพื่อนยิงจ่อๆ แค่ 8 หลา มันไม่ควรจะหลุดกรอบแบบนั้นได้”
เว็บลิเวอร์พูล เอ็คโค่ ให้คะแนนนูนเยซ 3 เต็ม 10 คราวนี้ ไม่มีใครปกป้องเขาเลย เพราะคุณเป็นกองหน้าเบอร์ 9 เบอร์เดียวกับ เอียน รัช, ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, เฟร์นันโด ตอร์เรส, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แต่คุณไม่มีความคมเลยสักนิด มันผิดปกติเกินไปแล้ว
17) คือนูนเยซ มีบางเกมที่ เขาสร้างเซอร์ไพรส์ได้ เช่นเกมยิง 2 ลูกใส่เบรนท์ฟอร์ด แต่ส่วนใหญ่แล้ว แจ๊กพอตแบบนั้นไม่ค่อยเกิดขึ้น นูนเยซทิ้งขว้างโอกาสบ่อยมาก
ฤดูกาลนี้ เขายิงไป 4 ลูกในพรีเมียร์ลีก (6 ลูกรวมทุกรายการ) น้อยสุดในบรรดากองหน้าของทีม ไม่นับเฟเดริโก้ เคียซ่า ที่ไม่ค่อยได้ลง ความน่าสนใจคือ ในบรรดากองหน้า 5 คนของหงส์แดง นูนเยซ มีค่าตัวแพงที่สุด คือ 64 ล้านปอนด์ (และมีอ็อปชั่นเสริมเป็น 85 ล้านปอนด์) ค่าตัวสูงสุด แต่ยิงได้น้อยสุดซะอย่างนั้น
3 ซีซั่น กับทีม คงได้เวลาต้องยอมรับแล้วว่า ดาร์วิน มาได้ไกลที่สุดแค่นี้ ฤดูกาลหน้าเขาอาจต้องย้ายไปทีมที่เหมาะกับจังหวะของเขามากกว่านี้ แล้วหงส์แดงก็ต้องมูฟออนไปหากองหน้าคนอื่นแทน เอาเป็นคนที่ มีความเฉียบขาดมากพอ ที่จะใส่เสื้อเบอร์ 9 จริงๆ
18) ตามจริง ถ้าสกอร์ขึ้นนำ สล้อธคงเปลี่ยนวาตารุ เอ็นโด ลงมาปิดเกมแล้ว แต่พอสกอร์อยู่ที่ 2-2 สล้อธต้องส่งตัวรุก อย่างหลุยส์ ดิอาซ ลงเพื่อโอกาสยิงประตูมากขึ้น แต่หลังจากเปิดช่องให้นูนเยซได้ลุ้น 2-3 หน คราวนี้วิลล่าระมัดระวังขึ้น ไม่พลาดอีกแล้วในช่วงเวลาที่เหลือ
วิลล่าเกือบขึ้นนำ 3-2 เมื่อยาค็อบ แรมซีย์ ยิงเข้าประตูไปแล้ว แต่ลูกนี้ล้ำหน้าไปก่อน จากนั้นก็ได้โหมบุกมาเรื่อยๆ คือมีโอกาสยิงได้มากกว่าฝั่งลิเวอร์พูล
19) คอนเนอร์ แบรดลีย์ ตัวสำรองที่เพิ่งลงมา โชคร้ายมาได้รับบาดเจ็บในนาทีที่ 89 ต้องโดนถอดออกเลย สล้อธ ส่งยาเรลล์ ควอนซาห์ ลงมายืนเป็นแบ็กขวาเฉพาะกิจก่อน แทนตำแหน่งกันไปเลย
20) ช่วงทดเจ็บ 5 นาที วิลล่าเฉียดไปเฉียดมา แต่ยิงไม่ได้ เกมเลยจบลงที่สกอร์ 2-2 ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสชนะ แต่ไฮไลท์ ที่ทุกคนมองข้ามไม่ได้ คือการพลาดแบบไม่น่าพลาดของดาร์วิน นูนเยซ
21) การเสมอวิลล่า ทำให้เป็นเกมแรกในฤดูกาลนี้ ที่ลิเวอร์พูลขึ้นนำคู่แข่ง แต่ไม่ชนะ ก่อนหน้านี้ขึ้นนำ 16 ครั้ง ชนะ 100% ถือว่าสถิติหลุดไปจนได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดในแง่ว่า ไม่แพ้กลับไปจากสนามที่ยากขนาดนี้ ก็สมควรจะพอใจแล้วก็ได้
อย่าลืมว่าวิลล่า คือทีม Top 8 ในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบลีกเฟส พวกเขาคือทีมคุณภาพ แม้แต่บาเยิร์น มิวนิค มาเยือนสนามนี้ยังแพ้ ดังนั้นการได้ 1 แต้ม ก็ไม่ได้เสียหายอะไรขนาดนั้น
22) ผลการแข่งขันเกมนี้ ทำให้ลิเวอร์พูล มีแต้มนำอาร์เซน่อล อันดับ 2 เพิ่มเป็น 8 แต้ม แต่แข่งมากกว่า 1 นัด ถ้าทีมปืนใหญ่เอาชนะเวสต์แฮมได้ในวันเสาร์ ช่องว่างจะบีบเหลือ 5 แต้มทันที การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกจะมันส์ขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับเรื่องฟอร์มการเล่น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในเดือนกุมภาพันธ์นี้ หงส์แดงเริ่มสะดุดให้เห็น ตั้งแต่แพ้พลีมัธ ตกรอบเอฟเอคัพ, โดนเอฟเวอร์ตันยิงนาที 90+8 และ ไม่มีโอกาสยิงแม้แต่หนเดียวในครึ่งหลังเกมเจอวูล์ฟแฮมป์ตัน ล่าสุดก็ชนะวิลล่าไม่ได้อีก
23) โมเมนตั้มโดยรวมอาจจะไม่ค่อยดี อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดในแง่ดีคือ ลิเวอร์พูล นำคู่แข่งด้วยช่องว่างที่เยอะมาก และสามารถผิดพลาดได้ 2-3 เกม ก็ยังคงนำเป็นจ่าฝูงอยู่
ย้อนกลับไปในฤดูกาลที่แล้ว ปีสุดท้ายของคล็อปป์ ตอนผ่านไป 26 เกมแรก หงส์นำเป็นจ่าฝูง มีอันดับมากกว่ารองจ่าฝูง 1 แต้ม แต่ ณ วันนี้ผ่านไป 26 เกมแรก หงส์มีแต้มห่างจากรองจ่าฝูงถึง 8 แต้ม สถานการณ์ต่างๆ ดูดีกว่าปีก่อนเยอะมาก
นักเตะหลายคน อย่างเช่นไรอัน กราเวนเบิร์ช อาจจะอ่อนล้า แต่ถ้าดูลิสต์รายชื่อตัวเจ็บ หงส์มีตัวเจ็บแค่ 2 คน (โกเมซ, แบรดลีย์) เทียบกับทีมแย่งแชมป์ อาร์เซน่อล ที่มีตัวเจ็บ 5 คน กองหน้าไม่เหลือให้ใช้งานแล้ว
ในภาพรวมลิเวอร์พูล ยัง “สดใส” ที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งแชมป์ แม้หนทางจะไม่ง่าย แต่ก็ยังดูดีกว่าทุกทีมที่เหลืออยู่
24) และภารกิจต่อไปของลิเวอร์พูล คือการไปเยือนแมนฯ ซิตี้ ในเกมซูเปอร์ซันเดย์ ตอนนี้ซิตี้กำลังระส่ำสุดๆ หมดลุ้นแทบทุกรายการ แถมยังตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีก สภาพจิตใจตอนนี้แตกร้าวแล้ว
และเป็นโอกาสดีจริงๆ ที่หงส์แดงจะสามารถบุกไปชนะได้ถึงเอติฮัด สเตเดี้ยม ซึ่งถ้าสล้อธได้สามแต้มที่แมนเชสเตอร์ล่ะก็ โอกาสได้แชมป์ก็คงไม่หนีไปไหนแน่นอน
#8pointsclear
———————-
#SINGHA #ถ้าใจบอกว่าใช่แล้วจะรออะไร

About The Author