
เมื่อลิเวอร์พูลบุกไปชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ทุกคนยอมรับว่า พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ “จบแล้ว” ช่องว่าง 11 แต้ม มันมากเกินไปที่ใครจะไล่ทัน
สิ่งที่เจอร์เก้น คล็อปป์ไม่เคยทำได้ ในช่วง 9 ซีซั่นที่อยู่ลิเวอร์พูล คือบุกมาชนะที่บ้านซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก แต่อาร์เน่อ สล้อธ สามารถทำได้ ในความพยายามครั้งแรก และนี่คือบทสรุป 22 ข้อ จากเกมซูเปอร์ซันเดย์เมื่อคืนที่ผ่านมา
1) ก่อนสัปดาห์นี้จะเริ่ม หลายคนคิดว่า ช่องว่างของลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล จะถูกบีบร่นลงมา จนการลุ้นแชมป์น่าจะกลับมาสนุกอีกครั้ง แต่ปรากฏว่า ในวันเสาร์ อาร์เซน่อลแพ้เวสต์แฮม คาบ้านดื้อๆ มันส่งผลโดยตรงให้คู่วันอาทิตย์ ลิเวอร์พูลเล่นแบบไม่กดดันอะไรเลย ต่อให้แพ้ ช่องว่างของแต้มก็ยังอยู่เท่าเดิม
ในภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า หงส์ได้ Free Hit คือได้ต่อยหมัดนึงฟรีๆ ถ้าแพ้แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่เป็นไร ถ้าชนะก็ถือว่าเป็นโบนัส
2) ไลน์อัพ 11 ตัวจริง ของฝั่งลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนแค่ 1 ตำแหน่งจากเกมวิลล่า คือถอดดีโอโก้ โชต้า แล้วส่งหลุยส์ ดิอาซลงแทน โดยแท็กติกที่ลิเวอร์พูลใช้ คือแผนที่เรียกว่า 4-2-2-2
กลางรับสองตัว (แม็คอัลลิสเตอร์ – กราเวนเบิร์ช), ตำแหน่งเบอร์ 10 สองตัว (โจนส์ – โซโบสไล) และ กองหน้าสองตัว (ซาลาห์ – ดิอาซ) นี่ไม่ใช่แผน 4-3-3 ที่เราคุ้นเคย แต่เป็นแผนใหม่ๆ โดยโซโบสไล กับ โจนส์ จะผลัดกันขึ้นลงตลอดทั้งเกม
3) ขณะที่ฝั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีความตื่นตะลึง เมื่อเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ไม่มีชื่อทั้งตัวจริง และตัวสำรองในเกมนี้ เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บเข่า ตั้งแต่เกมที่ซิตี้ ถล่มนิวคาสเซิล 4-0 ทำให้ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกกับเรอัล มาดริด ก็ไม่ได้ลงเล่น นัดนี้ก็ไม่ได้เล่นอีก
นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน ที่ฮาแลนด์ไม่ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก (นัดสุดท้ายที่ไม่ได้ลงก่อนหน้านี้ คือเกมชนะไบรท์ตัน 4-0 เดือนเมษายน 2024) เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องพลิกแพลงจากตัวที่มีอยู่ โดยจับโอมาร์ มาร์มูช มายืนเป็นหน้าเป้าแทน
4) มีคำกล่าวว่า อาร์เน่อ สล้อธ เป็นคนเหนือดวง เจอกับคู่แข่งทีมไหน ทีมนั้นก็ไม่สมบูรณ์ เดี๋ยวตัวหลักเจ็บ เดี๋ยวตัวหลักโดนแบน และในเคสของฮาแลนด์ก็เป็นอีกครั้ง ร้อยวันพันปี ไม่เคยเจ็บ มาเจ็บตอนเจอสล้อธพอดี อะไรจะลงล็อกขนาดนั้น
5) ตั้งแต่เป๊ป มาคุมแมนฯ ซิตี้ ในช่วงซัมเมอร์ 2016 ถ้าเป็นพรีเมียร์ลีก ยังไม่เคยแพ้ลิเวอร์พูลในเอติฮัด สเตเดี้ยม แต่ถ้าเป็นถ้วยอื่นเคยแพ้คาบ้านให้หงส์แดง 1 หน ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
คือไม่รู้ทำไม ถ้าเป็นพรีเมียร์ลีกปั๊บ เหมือนซิตี้ จะมีพลังพาวเวอร์อัพทุกที เวลาเจอทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์
6) ในช่วง 10 นาทีแรก แมนฯ ซิตี้เล่นได้ดีกว่า ลิเวอร์พูลต้องมีการจัดระเบียบเกมรับกันพอสมควรทีเดียว
ผมชอบความไว้ใจ และความมั่นใจในตัวเพื่อนร่วมทีมของลิเวอร์พูล ตัวอย่างเช่น ในนาทีที่ 3 แมนฯ ซิตี้ได้เตะมุม ฟิล โฟเด้นเปิดยัดเข้าไป อลิสซอน ไม่ยอมรับบอลแต่ชกออกมา จนเกือบโดนยิงสวน
อีกไม่กี่วินาทีต่อมา แมนฯ ซิตี้ได้เตะมุมอีกครั้ง ฟาน ไดค์ หันไปบอกอลิสซอนว่า “รับลูกบอลสิ อย่าชก” แล้วคราวนี้อลิสซอนก็คว้าบอลสองมืออย่างสวยเลย คือฟาน ไดค์ กับ อลิสซอน เป็นกองหลังที่เก่งที่สุด กับ นายทวารที่เก่งที่สุด พวกเขาร่วมรบกันมาแล้วหลายสมรภูมิ แค่ฟาน ไดค์บอกมาว่าต้องการอะไร อลิสซอนทำให้ได้ทันที
7) แมนฯ ซิตี้ ได้เล่นงานหงส์แดงจากจังหวะเตะมุมก่อน แต่ทำไม่ได้ ในนาทีที่ 14 ลิเวอร์พูลได้เตะมุมหนแรก แล้วทำประตูได้ทันที จากแท็กติกที่ซ้อมกันมาเป็นอย่างดี เป็นลูกที่สวยมากๆ
ลิเวอร์พูลให้นักเตะ 4 คน คือ โรเบิร์ตสัน, ฟาน ไดค์, โกนาเต้ และ ดิอาซ ทำการ “สกรีน” บล็อกตัวป้องกันของแมนฯ ซิตี้ ไม่ให้ขยับได้ จากนั้นแม็คอัลลิสเตอร์ จากเรียดมาให้โซโบสไล ที่ดีดบอลต่อให้ซาลาห์ ที่วิ่งมาจุดนัดพบพอดีเป๊ะ ซาลาห์ซัดโป้ง แฉลบแนวรับซิตี้ เข้าประตูไป หงส์นำ 1-0
โซโบสไลเล่าว่า พวกเขาซ้อมทริกนี้ ก่อนแข่ง 1 วัน แล้วเอามาใช้งานจริง ก็ได้ผลทันทีตั้งแต่หนแรก คือไม้ตายแบบนี้ ใช้บ่อยไม่ได้ เพราะคู่แข่งจะจับทางได้ แต่หงส์แดงเลือกใช้ตั้งแต่การเตะมุมครั้งแรก ในเกมที่สำคัญมากๆ อย่างนัดนี้ และมันก็ตอบแทนด้วยการเป็นประตู
โค้ชที่ดูแลเรื่องเซ็ตพีซของลิเวอร์พูล มีชื่อว่า แอร่อน บริกส์ (37 ปี) เขาเคยทำงานที่แมนฯ ซิตี้ 9 ปี จากนั้นย้ายไปโมนาโก และ โวล์ฟสบวร์ก ก่อนจะมาร่วมงานกับสล้อธในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ทริกของแอร่อน บริกส์ ยังไม่ค่อยได้ผล แต่มันก็มาสำเร็จเอาในเพลย์นี้
ใน 20 ทีมของพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ได้ประตูจากเซ็ตพีซน้อยที่สุด นั่นคือ 3 ลูก ส่วนอันดับหนึ่งคือ วิลล่า 13 ลูก ตามด้วยอาร์เซน่อล, พาเลซ, เอฟเวอร์ตัน 12 ลูกเท่ากัน แสดงให้เห็นว่าลิเวอร์พูลปีนี้ เล่นลูกนิ่งไม่ค่อยดีนัก แต่มันมาสัมฤทธิ์ผลในเกมนี้นั่นเอง
8 ) ซาลาห์ ยิงประตูที่ 25 ในพรีเมียร์ลีก ยืนหนึ่งเป็นดาวซัลโวต่อไปแบบใสๆ ทิ้งห่างฮาแลนด์ และ อิซัค ไปแล้ว 6 ลูกด้วยกัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่เจ็บไม่ป่วย ซาลาห์ไม่น่าพลาดดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกสมัยที่ 4 ส่วนรางวัลรองเท้าทองคำยุโรป ซาลาห์ก็นำหน้า แฮร์รี่ เคน (บาเยิร์น) กับ มาเตโอ เรเตกี (อตาลันต้า) อยู่ 4 ลูก ดูทรงแล้วก็น่าจะได้รองเท้าทองคำยุโรปไปพร้อมกันด้วย
25 ลูกของซาลาห์ในพรีเมียร์ลีก แบ่งเป็น เกมเหย้า 9 ลูก และเกมเยือน 16 ลูก ซาลาห์ทำประตูนอกบ้านได้เยอะกว่าเสียอีก โดยสถิติการยิงในเกมเยือนสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก คือ 16 ลูกนี่แหละ มีคนทำได้ 3 คน คือซาลาห์, แฮร์รี่ เคน และ เควิน ฟิลลิปส์ ถ้าหากซาลาห์ยิงได้เพิ่มในเกมเยือนอีกสักลูก ก็จะสร้างสถิติใหม่ยืนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว
ประตูนี้ ทำให้ซาลาห์ ยิงรวมให้หงส์แดงทั้งหมด 241 ลูก (ทุกรายการ) เป็นนักเตะที่ยิงเยอะที่สุดอันดับ 3 ตลอดกาลของสโมสร ร่วมกับกอร์ดอน ฮอดจ์สัน โดยมีแค่ 2 คนที่ยิงมากกว่า คือ เอียน รัช -346 ลูก และ โรเจอร์ ฮันท์ -285 ลูก
สถิติแปลกๆ อีกหนึ่งอย่างของซาลาห์คือ ในฤดูกาลนี้ ทุกเกมที่เล่น “วันอาทิตย์” ซาลาห์ยิงได้แบบ 100% ไม่รู้เพราะอะไร แต่เป็นแบบนั้น คือถ้าลิเวอร์พูลแข่งวันอาทิตย์ คนเล่นแฟนตาซี ใส่ซาลาห์เป็นกัปตันได้เลย ไม่ว่าจะเจอกับใครก็ตาม
9) กลยุทธ์ของแมนฯ ซิตี้ ในเกมนี้คือการฝากบอลที่เจเรมี่ โดกู ให้เลี้ยงกระชากผ่านเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งโดกู ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เขาเลี้ยงหลบเทรนต์ได้ถึง 11 ครั้งในเกมนี้
ตั้งแต่มีการเก็บสถิติมา 10 ฤดูกาล ไม่เคยมีนักเตะคนไหน “โดนคู่แข่งเลี้ยงผ่าน” มากถึง 11 ครั้งมาก่อน แต่มันก็เกิดขึ้นกับเทรนต์
แต่ประเด็นคือ ต่อให้เลี้ยงผ่านได้ แมนฯ ซิตี้ก็ไม่มีตัวจบสกอร์อยู่ดี เพราะไม่มีฮาแลนด์ โดกูล็อกหลบมา ก็ไม่รู้จะจ่ายใคร โอมาร์ มาร์มูช ก็ไม่ค่อยยืนค้ำให้ ทำให้โดกูครอสมาทีไร ก็โดนเคลียร์ทิ้งทุกที (ครอสบอล 5 ครั้ง เข้าเป้า 0)
10) คู่เซ็นเตอร์แบ็กของลิเวอร์พูล เล่นดีมาก เว็บลิเวอร์พูลเอ็คโค่ ให้คะแนนโกนาเต้ 9/10 และ ให้ฟาน ไดค์ 8/10 แมนฯ ซิตี้ ครอสมาแบบไหน ก็โดนเก็บกินหมด
ตลอดครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ ครองบอลมากกว่าเยอะ แต่เป็นการครองบอลที่สูญเปล่า เพราะไม่มีจังหวะจบสกอร์แบบจะแจ้ง มีช็อตมาร์มูช ยิงเข้าแต่ล้ำหน้าไปทีนึง แต่รวมๆ ไม่ได้คุกคามลิเวอร์พูลเท่าไหร่
11) ลิเวอร์พูล นานๆ จะบุกขึ้นมาที แต่พอมาปั๊บ ยิงได้เลย นาทีที่ 37 ทีมหงส์แดงเคาะกันไปมา ก่อนเทรนต์ตักบอลจากแดนหลัง ถ้าโซโบสไลเล่นเองก็จะล้ำหน้า แต่เขารู้งานดี จึงปล่อยให้ซาลาห์ ที่อยู่ด้านหลังเป็นคนเล่นเอง ส่วนโซโบสไลก็ขยับเข้าใน รอให้ซาลาห์จ่ายมาให้
ซาลาห์จ่ายมาตามนัด โซโบสไลยิงเข้าไป หงส์นำ 2-0 เท่ากับว่าลูกแรก โซโบจ่ายให้ซาลาห์ยิง ส่วนลูกสองซาลาห์จ่ายคืนให้โซโบยิง
12) ตอนนี้โซโบสไล อยู่ในช่วงผลิบานสุดๆ คือไม่ใช่แค่ยิงประตูได้ แต่มีอิทธิพลกับทีมมากๆ ในทีมลิเวอร์พูลทั้งหมด โซโบสไล มีสถิติ First Press หรือวิ่งเข้าไปเพรสซิ่งใส่คู่แข่งเป็นคนแรกมากที่สุดในทีม
และมีสถิติ Counter Press หรือพอเสียบอลปั๊บ วิ่งเข้าแย่งทันที เป็นอันดับที่ 5 ของพรีเมียร์ลีก (อันดับ 1 เดยัน คูลูเซฟสกี้ของสเปอร์ส)
เขามีความขยันมากๆ วิ่งเยอะมาก เพรสซิ่งเพื่อทีมตลอด สล้อธดูจะใช้งานเป็น ว่าตำแหน่งของโซโบสไล ควรเล่นเป็นเบอร์ 10 จะปล่อยศักยภาพของนักเตะออกมาได้ดีที่สุด
13) ขณะที่ซาลาห์ ทำแอสซิสต์ได้อีกครั้ง นี่เป็นแอสซิสต์ที่ 16 ของซาลาห์ในพรีเมียร์ลีก และทั่วทั้งยุโรป ก็ไม่มีนักเตะคนไหน แอสซิสต์ได้มากกว่าเขาอีกแล้ว (ตามหลังมาห่างๆ คือลามีน ยามาล ของบาร์ซ่าทำได้ 12 ครั้ง) ตอนนี้ซาลาห์ยืนหนึ่งทั้งดาวซัลโว และ ดาวแอสซิสต์ ไม่ใช่แค่พรีเมียร์ลีก แต่ทั้งยุโรป
ในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล นักเตะที่แอสซิสต์ได้มากที่สุดในฤดูกาลเดียว คือสตีฟ แม็คมานามาน 15 ครั้ง ในซีซั่น 1995-96 แปลว่าซาลาห์ก็ทำลายสถิติของแม็กก้าไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนสถิติสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก คือแอสซิสต์ 20 ครั้งในฤดูกาลเดียว ทำโดยเธียร์รี่ อองรี กับ เควิน เดอ บรอยน์ ถ้าซาลาห์แอสซิสต์ไปเรื่อยๆ อีก 5 ครั้ง ก็จะทำลายสถิตินี้เช่นกัน
นี่เป็นเกมที่ 11 ในฤดูกาลนี้ ที่ซาลาห์ ยิง+แอสซิสต์ ในเกมเดียวกัน นักเตะคนสุดท้ายใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป ที่ทำได้ 11 เกมแบบนี้ คือลีโอเนล เมสซี่ กับบาร์เซโลน่า (2013-14) ถ้าหากซาลาห์ ยิง+แอสซิสต์ ด้อีกครั้งในเกมที่เหลือ เขาก็จะแซงหน้าเมสซี่ขึ้นไปทันที
เกมแล้วเกมเล่าที่ซาลาห์สร้างสถิติใหม่ๆ ขึ้นมาไม่รู้จบ ด้วยฟอร์มแบบนี้ โอกาสที่เขาจะคว้าบัลลงดอร์มีสูงมาก คือถ้าเข้ารอบลึกๆ ในแชมเปี้ยนส์ลีกได้ล่ะก็ มีทางเป็นไปได้แน่นอน
14) ครึ่งแรกลิเวอร์พูลนำแมนฯ ซิตี้ สบายๆ 2-0 ครองบอลน้อยกว่า โอกาสยิงน้อยกว่า แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า คือพอดูๆ ไป เราเห็นเลยว่า ฝั่งลิเวอร์พูลนิ่งกว่าเยอะ
15) ลิเวอร์พูลเกือบนำ 3-0 ในครึ่งหลัง เมื่อโซโบสไล จ่ายให้เคอร์ติส โจนส์ ยิงโล่งๆ แต่กรรมการริบสกอร์ เพราะโซโบสไลล้ำหน้าไปก่อนนิดเดียว เมื่อสกอร์ยังอยู่ที่ 2 ลูก ทำให้แมนฯ ซิตี้ ยังพอมีความหวัง
แต่ปัญหาคือ นักเตะเล่นกันอย่างสะเปะสะปะ โดกู และ มาร์มูช ดื้อทั้งคู่ ส่วนเดอ บรอยน์ ก็เล่นไม่ออก นี่คือช่วงถดถอยอย่างแท้จริงของทีมเรือใบสีฟ้า
16) เมื่อเกมเริ่มตื้อๆ และโดนซิตี้โจมตีหนักขึ้น ทำให้สล้อธ เปลี่ยน 2 ผู้เล่น ลงมาแก้สถานการณ์ ในนาทีที่ 74 ถอดโรเบิร์ตสันที่เหนื่อยแล้ว ส่งซิมิกาสมาต่างตำแหน่ง และอีกคนคือวาตารุ เอ็นโด ลงมาแทนเคอร์ติส โจนส์
เมื่อไหร่ก็ตามที่เอ็นโดได้ลงสนาม มีความหมายเดียวคือ “ต้องการปิดเกม” เพราะเอ็นโดจะถอยลงไปต่ำมาก จนเหมือนเป็นเซ็นเตอร์แบ็กคนที่สาม เอ็นโดไม่มีสกิลในการเล่นเกมรุก แต่เขาทำให้เกมรับแข็งมาก แสดงว่าสล้อธพอใจแล้วที่จะจบด้วยสกอร์ 2-0
17) สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างคือเกมนี้ สล้อธ ไม่ส่งดีโอโก้ โชต้า กับ ดาร์วิน นูนเยซ สองนักเตะที่พลาดจังหวะหลุดเดี่ยวในเกมกับวิลล่า ลงเล่นแม้แต่นาทีเดียว คือไม่รู้เขาคิดอะไรอยู่ แต่มันก็อาจเป็นการกระตุ้นให้ทั้งโชต้า และ นูนเยซ ตั้งใจทำผลงานให้ดีขึ้นถ้าคุณได้รับโอกาสในสนาม
18) หลังจากทดเจ็บ 4 นาที เกมก็จบลง ลิเวอร์พูลไม่ยิงเพิ่มอีกแล้ว และรักษาสกอร์ 2-0 ไว้ได้ ในที่สุด อาถรรพ์ ไม่เคยชนะเป๊ปที่เอติฮัด ในเกมพรีเมียร์ลีกก็โดนทำลายลงตรงนี้นั่นเอง
ไม่สำคัญว่าแมนฯ ซิตี้ จะมีฮาแลนด์หรือไม่ หรืออยู่ในช่วงฟอร์มตก แต่ชนะก็คือชนะ นี่เป็นสัญญาณที่จะบอกว่า จากนี้ไป ลิเวอร์พูลจะไม่ต้องหวาดกลัวทีมเรือใบสีฟ้าอีกต่อไป
ฤดูกาลนี้ หงส์แดงชนะแมนฯ ซิตี้ แบบเหย้า-เยือน ด้วยสกอร์เดียวกัน 2-0 เก็บคลีนชีทได้ทั้งสองเกม เป็นชัยชนะที่สมบูรณ์มาก
19) สำหรับเป๊ป นี่เป็นครั้งแรกนับจากฤดูกาล 2019-20 ที่พวกเขา มีช่องว่างห่างจากจ่าฝูงมากถึง “20 คะแนน” และแน่นอน ทุกคนคงจำสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาล 2019-20 ได้ นั่นคือลิเวอร์พูลก้าวไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกนั่นเอง
20) ถึงตรงนี้ แม้จะยังไม่ Official แต่ทุกคนก็ยอมรับแล้วว่า ลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแน่ๆ ช่องว่าง 11 แต้ม มันเยอะมากเกินกว่าที่อาร์เซน่อลจะไล่ทัน
เหลืออีก 11 เกมที่เหลือ ในทางปฏิบัติ แพ้สัก 3 เกม ก็ยังเป็นแชมป์ (ซึ่งในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลเพิ่งแพ้ไปแค่ 1 เกม) ทุกคนยอมรับตรงกันว่า เกมการลุ้นแชมป์มันจบแล้ว อาร์เซน่อลตอนนี้ก็ต้องประคองตัวเองให้จบอันดับ 2 ให้ได้ก็พอ
ถ้าดูในตารางคะแนน อาร์เซน่อลตามหลังลิเวอร์พูล 11 แต้ม แต่นำหน้า อันดับ 5 (นิวคาสเซิล) ที่จะแย่งโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกแค่ 8 คะแนน
ดังนั้น การรักษาโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกไว้จากทีมที่ไล่หลังมา ดูจะสำคัญกว่าการทะเยอทะยานสู้เพื่อแย่งชิงการเป็นอันดับหนึ่ง
21) ทีมหงส์แดงตอนนี้ แค่ประคองตัวไปเรื่อยๆ ก็ได้แชมป์แล้ว อย่าแพ้ภัยตัวเองเป็นพอ แม้แต่แกรี่ เนวิลล์ ตำนานแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังยอมรับว่า “การลุ้นพรีเมียร์ลีกมันจบแล้ว”
ณ เวลานี้ แฟนหงส์แดงเตรียมฉลองกันได้เลย แต่คำถามคือ จะลงเอยด้วย 1 แชมป์ หรือมากกว่านั้น จะมีคาราบาวคัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แถมไปด้วยหรือเปล่า ก็ต้องมาติดตามกันต่อไป
22) อาร์เน่อ สล้อธ ให้สัมภาษณ์หลังเกมอย่างระวังตัว เขาบอกว่า “สามวันก่อน เราเสมอวิลล่า ผู้คนบอกว่า เราลุ้นแชมป์เหนื่อยแน่ แต่พอเราชนะซิตี้ ความคิดผู้คนก็เปลี่ยนอีกครั้ง เราต้องทำงานหนักในช่วง 3 เดือนที่เหลือ รักษามาตรฐานเอาไว้ให้ได้”
จะเห็นว่าสล้อธดูแบ่งรับ แบ่งสู้ ไม่ได้อวดโอ่ว่าทีมจะเป็นแชมป์แน่นอน แต่รับรองได้เลยว่า ในใจเขาก็ลิงโลดอยู่แน่ๆ ที่จะกลายเป็นผู้จัดการทีมหงส์แดงคนแรก ที่เข้ามาคุมทีมปั๊บ ก็คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในปีแรกทันที
#SINGHA #ถ้าใจบอกว่าใช่แล้วจะรออะไร
สิ่งที่เจอร์เก้น คล็อปป์ไม่เคยทำได้ ในช่วง 9 ซีซั่นที่อยู่ลิเวอร์พูล คือบุกมาชนะที่บ้านซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก แต่อาร์เน่อ สล้อธ สามารถทำได้ ในความพยายามครั้งแรก และนี่คือบทสรุป 22 ข้อ จากเกมซูเปอร์ซันเดย์เมื่อคืนที่ผ่านมา
1) ก่อนสัปดาห์นี้จะเริ่ม หลายคนคิดว่า ช่องว่างของลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล จะถูกบีบร่นลงมา จนการลุ้นแชมป์น่าจะกลับมาสนุกอีกครั้ง แต่ปรากฏว่า ในวันเสาร์ อาร์เซน่อลแพ้เวสต์แฮม คาบ้านดื้อๆ มันส่งผลโดยตรงให้คู่วันอาทิตย์ ลิเวอร์พูลเล่นแบบไม่กดดันอะไรเลย ต่อให้แพ้ ช่องว่างของแต้มก็ยังอยู่เท่าเดิม
ในภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า หงส์ได้ Free Hit คือได้ต่อยหมัดนึงฟรีๆ ถ้าแพ้แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่เป็นไร ถ้าชนะก็ถือว่าเป็นโบนัส
2) ไลน์อัพ 11 ตัวจริง ของฝั่งลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนแค่ 1 ตำแหน่งจากเกมวิลล่า คือถอดดีโอโก้ โชต้า แล้วส่งหลุยส์ ดิอาซลงแทน โดยแท็กติกที่ลิเวอร์พูลใช้ คือแผนที่เรียกว่า 4-2-2-2
กลางรับสองตัว (แม็คอัลลิสเตอร์ – กราเวนเบิร์ช), ตำแหน่งเบอร์ 10 สองตัว (โจนส์ – โซโบสไล) และ กองหน้าสองตัว (ซาลาห์ – ดิอาซ) นี่ไม่ใช่แผน 4-3-3 ที่เราคุ้นเคย แต่เป็นแผนใหม่ๆ โดยโซโบสไล กับ โจนส์ จะผลัดกันขึ้นลงตลอดทั้งเกม
3) ขณะที่ฝั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีความตื่นตะลึง เมื่อเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ไม่มีชื่อทั้งตัวจริง และตัวสำรองในเกมนี้ เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บเข่า ตั้งแต่เกมที่ซิตี้ ถล่มนิวคาสเซิล 4-0 ทำให้ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกกับเรอัล มาดริด ก็ไม่ได้ลงเล่น นัดนี้ก็ไม่ได้เล่นอีก
นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน ที่ฮาแลนด์ไม่ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก (นัดสุดท้ายที่ไม่ได้ลงก่อนหน้านี้ คือเกมชนะไบรท์ตัน 4-0 เดือนเมษายน 2024) เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องพลิกแพลงจากตัวที่มีอยู่ โดยจับโอมาร์ มาร์มูช มายืนเป็นหน้าเป้าแทน
4) มีคำกล่าวว่า อาร์เน่อ สล้อธ เป็นคนเหนือดวง เจอกับคู่แข่งทีมไหน ทีมนั้นก็ไม่สมบูรณ์ เดี๋ยวตัวหลักเจ็บ เดี๋ยวตัวหลักโดนแบน และในเคสของฮาแลนด์ก็เป็นอีกครั้ง ร้อยวันพันปี ไม่เคยเจ็บ มาเจ็บตอนเจอสล้อธพอดี อะไรจะลงล็อกขนาดนั้น
5) ตั้งแต่เป๊ป มาคุมแมนฯ ซิตี้ ในช่วงซัมเมอร์ 2016 ถ้าเป็นพรีเมียร์ลีก ยังไม่เคยแพ้ลิเวอร์พูลในเอติฮัด สเตเดี้ยม แต่ถ้าเป็นถ้วยอื่นเคยแพ้คาบ้านให้หงส์แดง 1 หน ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
คือไม่รู้ทำไม ถ้าเป็นพรีเมียร์ลีกปั๊บ เหมือนซิตี้ จะมีพลังพาวเวอร์อัพทุกที เวลาเจอทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์
6) ในช่วง 10 นาทีแรก แมนฯ ซิตี้เล่นได้ดีกว่า ลิเวอร์พูลต้องมีการจัดระเบียบเกมรับกันพอสมควรทีเดียว
ผมชอบความไว้ใจ และความมั่นใจในตัวเพื่อนร่วมทีมของลิเวอร์พูล ตัวอย่างเช่น ในนาทีที่ 3 แมนฯ ซิตี้ได้เตะมุม ฟิล โฟเด้นเปิดยัดเข้าไป อลิสซอน ไม่ยอมรับบอลแต่ชกออกมา จนเกือบโดนยิงสวน
อีกไม่กี่วินาทีต่อมา แมนฯ ซิตี้ได้เตะมุมอีกครั้ง ฟาน ไดค์ หันไปบอกอลิสซอนว่า “รับลูกบอลสิ อย่าชก” แล้วคราวนี้อลิสซอนก็คว้าบอลสองมืออย่างสวยเลย คือฟาน ไดค์ กับ อลิสซอน เป็นกองหลังที่เก่งที่สุด กับ นายทวารที่เก่งที่สุด พวกเขาร่วมรบกันมาแล้วหลายสมรภูมิ แค่ฟาน ไดค์บอกมาว่าต้องการอะไร อลิสซอนทำให้ได้ทันที
7) แมนฯ ซิตี้ ได้เล่นงานหงส์แดงจากจังหวะเตะมุมก่อน แต่ทำไม่ได้ ในนาทีที่ 14 ลิเวอร์พูลได้เตะมุมหนแรก แล้วทำประตูได้ทันที จากแท็กติกที่ซ้อมกันมาเป็นอย่างดี เป็นลูกที่สวยมากๆ
ลิเวอร์พูลให้นักเตะ 4 คน คือ โรเบิร์ตสัน, ฟาน ไดค์, โกนาเต้ และ ดิอาซ ทำการ “สกรีน” บล็อกตัวป้องกันของแมนฯ ซิตี้ ไม่ให้ขยับได้ จากนั้นแม็คอัลลิสเตอร์ จากเรียดมาให้โซโบสไล ที่ดีดบอลต่อให้ซาลาห์ ที่วิ่งมาจุดนัดพบพอดีเป๊ะ ซาลาห์ซัดโป้ง แฉลบแนวรับซิตี้ เข้าประตูไป หงส์นำ 1-0
โซโบสไลเล่าว่า พวกเขาซ้อมทริกนี้ ก่อนแข่ง 1 วัน แล้วเอามาใช้งานจริง ก็ได้ผลทันทีตั้งแต่หนแรก คือไม้ตายแบบนี้ ใช้บ่อยไม่ได้ เพราะคู่แข่งจะจับทางได้ แต่หงส์แดงเลือกใช้ตั้งแต่การเตะมุมครั้งแรก ในเกมที่สำคัญมากๆ อย่างนัดนี้ และมันก็ตอบแทนด้วยการเป็นประตู
โค้ชที่ดูแลเรื่องเซ็ตพีซของลิเวอร์พูล มีชื่อว่า แอร่อน บริกส์ (37 ปี) เขาเคยทำงานที่แมนฯ ซิตี้ 9 ปี จากนั้นย้ายไปโมนาโก และ โวล์ฟสบวร์ก ก่อนจะมาร่วมงานกับสล้อธในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ทริกของแอร่อน บริกส์ ยังไม่ค่อยได้ผล แต่มันก็มาสำเร็จเอาในเพลย์นี้
ใน 20 ทีมของพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ได้ประตูจากเซ็ตพีซน้อยที่สุด นั่นคือ 3 ลูก ส่วนอันดับหนึ่งคือ วิลล่า 13 ลูก ตามด้วยอาร์เซน่อล, พาเลซ, เอฟเวอร์ตัน 12 ลูกเท่ากัน แสดงให้เห็นว่าลิเวอร์พูลปีนี้ เล่นลูกนิ่งไม่ค่อยดีนัก แต่มันมาสัมฤทธิ์ผลในเกมนี้นั่นเอง
8 ) ซาลาห์ ยิงประตูที่ 25 ในพรีเมียร์ลีก ยืนหนึ่งเป็นดาวซัลโวต่อไปแบบใสๆ ทิ้งห่างฮาแลนด์ และ อิซัค ไปแล้ว 6 ลูกด้วยกัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่เจ็บไม่ป่วย ซาลาห์ไม่น่าพลาดดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกสมัยที่ 4 ส่วนรางวัลรองเท้าทองคำยุโรป ซาลาห์ก็นำหน้า แฮร์รี่ เคน (บาเยิร์น) กับ มาเตโอ เรเตกี (อตาลันต้า) อยู่ 4 ลูก ดูทรงแล้วก็น่าจะได้รองเท้าทองคำยุโรปไปพร้อมกันด้วย
25 ลูกของซาลาห์ในพรีเมียร์ลีก แบ่งเป็น เกมเหย้า 9 ลูก และเกมเยือน 16 ลูก ซาลาห์ทำประตูนอกบ้านได้เยอะกว่าเสียอีก โดยสถิติการยิงในเกมเยือนสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก คือ 16 ลูกนี่แหละ มีคนทำได้ 3 คน คือซาลาห์, แฮร์รี่ เคน และ เควิน ฟิลลิปส์ ถ้าหากซาลาห์ยิงได้เพิ่มในเกมเยือนอีกสักลูก ก็จะสร้างสถิติใหม่ยืนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว
ประตูนี้ ทำให้ซาลาห์ ยิงรวมให้หงส์แดงทั้งหมด 241 ลูก (ทุกรายการ) เป็นนักเตะที่ยิงเยอะที่สุดอันดับ 3 ตลอดกาลของสโมสร ร่วมกับกอร์ดอน ฮอดจ์สัน โดยมีแค่ 2 คนที่ยิงมากกว่า คือ เอียน รัช -346 ลูก และ โรเจอร์ ฮันท์ -285 ลูก
สถิติแปลกๆ อีกหนึ่งอย่างของซาลาห์คือ ในฤดูกาลนี้ ทุกเกมที่เล่น “วันอาทิตย์” ซาลาห์ยิงได้แบบ 100% ไม่รู้เพราะอะไร แต่เป็นแบบนั้น คือถ้าลิเวอร์พูลแข่งวันอาทิตย์ คนเล่นแฟนตาซี ใส่ซาลาห์เป็นกัปตันได้เลย ไม่ว่าจะเจอกับใครก็ตาม
9) กลยุทธ์ของแมนฯ ซิตี้ ในเกมนี้คือการฝากบอลที่เจเรมี่ โดกู ให้เลี้ยงกระชากผ่านเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งโดกู ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เขาเลี้ยงหลบเทรนต์ได้ถึง 11 ครั้งในเกมนี้
ตั้งแต่มีการเก็บสถิติมา 10 ฤดูกาล ไม่เคยมีนักเตะคนไหน “โดนคู่แข่งเลี้ยงผ่าน” มากถึง 11 ครั้งมาก่อน แต่มันก็เกิดขึ้นกับเทรนต์
แต่ประเด็นคือ ต่อให้เลี้ยงผ่านได้ แมนฯ ซิตี้ก็ไม่มีตัวจบสกอร์อยู่ดี เพราะไม่มีฮาแลนด์ โดกูล็อกหลบมา ก็ไม่รู้จะจ่ายใคร โอมาร์ มาร์มูช ก็ไม่ค่อยยืนค้ำให้ ทำให้โดกูครอสมาทีไร ก็โดนเคลียร์ทิ้งทุกที (ครอสบอล 5 ครั้ง เข้าเป้า 0)
10) คู่เซ็นเตอร์แบ็กของลิเวอร์พูล เล่นดีมาก เว็บลิเวอร์พูลเอ็คโค่ ให้คะแนนโกนาเต้ 9/10 และ ให้ฟาน ไดค์ 8/10 แมนฯ ซิตี้ ครอสมาแบบไหน ก็โดนเก็บกินหมด
ตลอดครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ ครองบอลมากกว่าเยอะ แต่เป็นการครองบอลที่สูญเปล่า เพราะไม่มีจังหวะจบสกอร์แบบจะแจ้ง มีช็อตมาร์มูช ยิงเข้าแต่ล้ำหน้าไปทีนึง แต่รวมๆ ไม่ได้คุกคามลิเวอร์พูลเท่าไหร่
11) ลิเวอร์พูล นานๆ จะบุกขึ้นมาที แต่พอมาปั๊บ ยิงได้เลย นาทีที่ 37 ทีมหงส์แดงเคาะกันไปมา ก่อนเทรนต์ตักบอลจากแดนหลัง ถ้าโซโบสไลเล่นเองก็จะล้ำหน้า แต่เขารู้งานดี จึงปล่อยให้ซาลาห์ ที่อยู่ด้านหลังเป็นคนเล่นเอง ส่วนโซโบสไลก็ขยับเข้าใน รอให้ซาลาห์จ่ายมาให้
ซาลาห์จ่ายมาตามนัด โซโบสไลยิงเข้าไป หงส์นำ 2-0 เท่ากับว่าลูกแรก โซโบจ่ายให้ซาลาห์ยิง ส่วนลูกสองซาลาห์จ่ายคืนให้โซโบยิง
12) ตอนนี้โซโบสไล อยู่ในช่วงผลิบานสุดๆ คือไม่ใช่แค่ยิงประตูได้ แต่มีอิทธิพลกับทีมมากๆ ในทีมลิเวอร์พูลทั้งหมด โซโบสไล มีสถิติ First Press หรือวิ่งเข้าไปเพรสซิ่งใส่คู่แข่งเป็นคนแรกมากที่สุดในทีม
และมีสถิติ Counter Press หรือพอเสียบอลปั๊บ วิ่งเข้าแย่งทันที เป็นอันดับที่ 5 ของพรีเมียร์ลีก (อันดับ 1 เดยัน คูลูเซฟสกี้ของสเปอร์ส)
เขามีความขยันมากๆ วิ่งเยอะมาก เพรสซิ่งเพื่อทีมตลอด สล้อธดูจะใช้งานเป็น ว่าตำแหน่งของโซโบสไล ควรเล่นเป็นเบอร์ 10 จะปล่อยศักยภาพของนักเตะออกมาได้ดีที่สุด
13) ขณะที่ซาลาห์ ทำแอสซิสต์ได้อีกครั้ง นี่เป็นแอสซิสต์ที่ 16 ของซาลาห์ในพรีเมียร์ลีก และทั่วทั้งยุโรป ก็ไม่มีนักเตะคนไหน แอสซิสต์ได้มากกว่าเขาอีกแล้ว (ตามหลังมาห่างๆ คือลามีน ยามาล ของบาร์ซ่าทำได้ 12 ครั้ง) ตอนนี้ซาลาห์ยืนหนึ่งทั้งดาวซัลโว และ ดาวแอสซิสต์ ไม่ใช่แค่พรีเมียร์ลีก แต่ทั้งยุโรป
ในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล นักเตะที่แอสซิสต์ได้มากที่สุดในฤดูกาลเดียว คือสตีฟ แม็คมานามาน 15 ครั้ง ในซีซั่น 1995-96 แปลว่าซาลาห์ก็ทำลายสถิติของแม็กก้าไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนสถิติสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก คือแอสซิสต์ 20 ครั้งในฤดูกาลเดียว ทำโดยเธียร์รี่ อองรี กับ เควิน เดอ บรอยน์ ถ้าซาลาห์แอสซิสต์ไปเรื่อยๆ อีก 5 ครั้ง ก็จะทำลายสถิตินี้เช่นกัน
นี่เป็นเกมที่ 11 ในฤดูกาลนี้ ที่ซาลาห์ ยิง+แอสซิสต์ ในเกมเดียวกัน นักเตะคนสุดท้ายใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป ที่ทำได้ 11 เกมแบบนี้ คือลีโอเนล เมสซี่ กับบาร์เซโลน่า (2013-14) ถ้าหากซาลาห์ ยิง+แอสซิสต์ ด้อีกครั้งในเกมที่เหลือ เขาก็จะแซงหน้าเมสซี่ขึ้นไปทันที
เกมแล้วเกมเล่าที่ซาลาห์สร้างสถิติใหม่ๆ ขึ้นมาไม่รู้จบ ด้วยฟอร์มแบบนี้ โอกาสที่เขาจะคว้าบัลลงดอร์มีสูงมาก คือถ้าเข้ารอบลึกๆ ในแชมเปี้ยนส์ลีกได้ล่ะก็ มีทางเป็นไปได้แน่นอน
14) ครึ่งแรกลิเวอร์พูลนำแมนฯ ซิตี้ สบายๆ 2-0 ครองบอลน้อยกว่า โอกาสยิงน้อยกว่า แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า คือพอดูๆ ไป เราเห็นเลยว่า ฝั่งลิเวอร์พูลนิ่งกว่าเยอะ
15) ลิเวอร์พูลเกือบนำ 3-0 ในครึ่งหลัง เมื่อโซโบสไล จ่ายให้เคอร์ติส โจนส์ ยิงโล่งๆ แต่กรรมการริบสกอร์ เพราะโซโบสไลล้ำหน้าไปก่อนนิดเดียว เมื่อสกอร์ยังอยู่ที่ 2 ลูก ทำให้แมนฯ ซิตี้ ยังพอมีความหวัง
แต่ปัญหาคือ นักเตะเล่นกันอย่างสะเปะสะปะ โดกู และ มาร์มูช ดื้อทั้งคู่ ส่วนเดอ บรอยน์ ก็เล่นไม่ออก นี่คือช่วงถดถอยอย่างแท้จริงของทีมเรือใบสีฟ้า
16) เมื่อเกมเริ่มตื้อๆ และโดนซิตี้โจมตีหนักขึ้น ทำให้สล้อธ เปลี่ยน 2 ผู้เล่น ลงมาแก้สถานการณ์ ในนาทีที่ 74 ถอดโรเบิร์ตสันที่เหนื่อยแล้ว ส่งซิมิกาสมาต่างตำแหน่ง และอีกคนคือวาตารุ เอ็นโด ลงมาแทนเคอร์ติส โจนส์
เมื่อไหร่ก็ตามที่เอ็นโดได้ลงสนาม มีความหมายเดียวคือ “ต้องการปิดเกม” เพราะเอ็นโดจะถอยลงไปต่ำมาก จนเหมือนเป็นเซ็นเตอร์แบ็กคนที่สาม เอ็นโดไม่มีสกิลในการเล่นเกมรุก แต่เขาทำให้เกมรับแข็งมาก แสดงว่าสล้อธพอใจแล้วที่จะจบด้วยสกอร์ 2-0
17) สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างคือเกมนี้ สล้อธ ไม่ส่งดีโอโก้ โชต้า กับ ดาร์วิน นูนเยซ สองนักเตะที่พลาดจังหวะหลุดเดี่ยวในเกมกับวิลล่า ลงเล่นแม้แต่นาทีเดียว คือไม่รู้เขาคิดอะไรอยู่ แต่มันก็อาจเป็นการกระตุ้นให้ทั้งโชต้า และ นูนเยซ ตั้งใจทำผลงานให้ดีขึ้นถ้าคุณได้รับโอกาสในสนาม
18) หลังจากทดเจ็บ 4 นาที เกมก็จบลง ลิเวอร์พูลไม่ยิงเพิ่มอีกแล้ว และรักษาสกอร์ 2-0 ไว้ได้ ในที่สุด อาถรรพ์ ไม่เคยชนะเป๊ปที่เอติฮัด ในเกมพรีเมียร์ลีกก็โดนทำลายลงตรงนี้นั่นเอง
ไม่สำคัญว่าแมนฯ ซิตี้ จะมีฮาแลนด์หรือไม่ หรืออยู่ในช่วงฟอร์มตก แต่ชนะก็คือชนะ นี่เป็นสัญญาณที่จะบอกว่า จากนี้ไป ลิเวอร์พูลจะไม่ต้องหวาดกลัวทีมเรือใบสีฟ้าอีกต่อไป
ฤดูกาลนี้ หงส์แดงชนะแมนฯ ซิตี้ แบบเหย้า-เยือน ด้วยสกอร์เดียวกัน 2-0 เก็บคลีนชีทได้ทั้งสองเกม เป็นชัยชนะที่สมบูรณ์มาก
19) สำหรับเป๊ป นี่เป็นครั้งแรกนับจากฤดูกาล 2019-20 ที่พวกเขา มีช่องว่างห่างจากจ่าฝูงมากถึง “20 คะแนน” และแน่นอน ทุกคนคงจำสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาล 2019-20 ได้ นั่นคือลิเวอร์พูลก้าวไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกนั่นเอง
20) ถึงตรงนี้ แม้จะยังไม่ Official แต่ทุกคนก็ยอมรับแล้วว่า ลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแน่ๆ ช่องว่าง 11 แต้ม มันเยอะมากเกินกว่าที่อาร์เซน่อลจะไล่ทัน
เหลืออีก 11 เกมที่เหลือ ในทางปฏิบัติ แพ้สัก 3 เกม ก็ยังเป็นแชมป์ (ซึ่งในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลเพิ่งแพ้ไปแค่ 1 เกม) ทุกคนยอมรับตรงกันว่า เกมการลุ้นแชมป์มันจบแล้ว อาร์เซน่อลตอนนี้ก็ต้องประคองตัวเองให้จบอันดับ 2 ให้ได้ก็พอ
ถ้าดูในตารางคะแนน อาร์เซน่อลตามหลังลิเวอร์พูล 11 แต้ม แต่นำหน้า อันดับ 5 (นิวคาสเซิล) ที่จะแย่งโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกแค่ 8 คะแนน
ดังนั้น การรักษาโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกไว้จากทีมที่ไล่หลังมา ดูจะสำคัญกว่าการทะเยอทะยานสู้เพื่อแย่งชิงการเป็นอันดับหนึ่ง
21) ทีมหงส์แดงตอนนี้ แค่ประคองตัวไปเรื่อยๆ ก็ได้แชมป์แล้ว อย่าแพ้ภัยตัวเองเป็นพอ แม้แต่แกรี่ เนวิลล์ ตำนานแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังยอมรับว่า “การลุ้นพรีเมียร์ลีกมันจบแล้ว”
ณ เวลานี้ แฟนหงส์แดงเตรียมฉลองกันได้เลย แต่คำถามคือ จะลงเอยด้วย 1 แชมป์ หรือมากกว่านั้น จะมีคาราบาวคัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แถมไปด้วยหรือเปล่า ก็ต้องมาติดตามกันต่อไป
22) อาร์เน่อ สล้อธ ให้สัมภาษณ์หลังเกมอย่างระวังตัว เขาบอกว่า “สามวันก่อน เราเสมอวิลล่า ผู้คนบอกว่า เราลุ้นแชมป์เหนื่อยแน่ แต่พอเราชนะซิตี้ ความคิดผู้คนก็เปลี่ยนอีกครั้ง เราต้องทำงานหนักในช่วง 3 เดือนที่เหลือ รักษามาตรฐานเอาไว้ให้ได้”
จะเห็นว่าสล้อธดูแบ่งรับ แบ่งสู้ ไม่ได้อวดโอ่ว่าทีมจะเป็นแชมป์แน่นอน แต่รับรองได้เลยว่า ในใจเขาก็ลิงโลดอยู่แน่ๆ ที่จะกลายเป็นผู้จัดการทีมหงส์แดงคนแรก ที่เข้ามาคุมทีมปั๊บ ก็คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในปีแรกทันที
#SINGHA #ถ้าใจบอกว่าใช่แล้วจะรออะไร
More Stories
ด้อยค่าระบบหลัง 3 หรือเปล่า “แม็ค ไกวร์” พูดตรงๆ ถึงแนวทาง “อโมริม” ที่ตอนนี้ไม่เวิร์กอย่างแรง
เหล่าแข้ง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด และ เมืองทอง ยูไนเต็ด เดินทางถึงยังสนามบีจี สเตเดี้ยม เป็นที่เรียบร้อย ก่อนทำศึกบิ๊กแมตช์ ไ…
ข่าวดี.! โรดรี้ เริ่มซ้อมเดี่ยวกับทีมได้แล้ว มีลุ้นคืนสนามท้ายซีซั่น