สัปดาห์อันตรายของทีมหงส์แดง ผ่านไปแบบสบายๆ ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่ใครๆ คาดคิดตอนแรก และถึงตรงนี้ ไม่มีพลิกแน่นอน แฟนลิเวอ…


สัปดาห์อันตรายของทีมหงส์แดง ผ่านไปแบบสบายๆ ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่ใครๆ คาดคิดตอนแรก และถึงตรงนี้ ไม่มีพลิกแน่นอน แฟนลิเวอร์พูลเตรียมตัวฉลองแชมป์ได้เลย
นิวคาสเซิลเป็นทีมที่ดี แต่มาเจอหงส์แดงในวันที่เยือกเย็น และเล่นชัวร์มาก ต้องบอกว่ารอดยากจริงๆ และนี่คือบทสรุป 25 ข้อ จากเกมพรีเมียร์ลีก คืนวันพุธ
1) ลิเวอร์พูล กับ นิวคาสเซิล คือคู่ชิงคาราบาวคัพ ในช่วงกลางเดือนมีนาคม แมตช์นี้จึงเหมือนเป็นการซ้อมใหญ่ เพราะไลน์อัพของทั้ง 2 ทีม ก็คงไม่ได้ต่างจากวันนี้มาก
หงส์แดง เปลี่ยนแผนการเล่นเล็กน้อย จาก 4-2-2-2 ในเกมชนะแมนฯ ซิตี้ ปรับมาใช้ 4-3-3 แบบดั้งเดิม แนวรุก มีหลุยส์ ดิอาซ, ดีโอโก้ โชต้า และ โม ซาลาห์ ตัวผู้เล่นสมบูรณ์แทบทั้งทีม นักเตะอาจจะมีอ่อนล้าบ้าง แต่ก็พร้อมลงสนามตามปกติ
2) อาร์เน่อ สล้อธ โดนโทษแบน 2 นัด จากที่เขาไปพูดจาไม่ดี ใส่ไมเคิล โอลิเวอร์ ทำให้คุมทีมข้างสนามไม่ได้ ในเกมกับนิวคาสเซิล และ เซาธ์แฮมป์ตัน ต้องไปอยู่บนสแตนด์ โดยมีจอห์นนี่ ไฮติงก้า รับหน้าที่คุมทีมเฉพาะกิจไปก่อน
แต่ในความจริง สล้อธก็คุมทีมอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ พอพักครึ่งเขาก็เดินไปบรีฟนักเตะในห้องแต่งตัวได้ เพียงแต่อยู่ข้างสนามไม่ได้แค่นั้น
3) อย่างที่เราเคยบอกกันเสมอว่า สล้อธ เป็นคนที่ดวงแข็งมาก อะไรๆ ก็มักจะเป็นใจให้เขาตลอด อย่างเช่นเกมนี้ อยู่ๆ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ที่ฟอร์มร้อนแรง ยิงไป 19 ลูกในพรีเมียร์ลีก ได้รับบาดเจ็บโคนขาหนีบเฉยเลย จนไม่มีชื่อทั้งตัวจริงและตัวสำรอง
เกมก่อนหน้านี้ แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่มีเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ทั้งๆ ที่ร้อยวันพันปี ลงเล่นตัวจริงทุกนัด มาเกมนี้ก็อิซัคอีก สล้อธคือเป็นคนเหนือดวง โชคชะตาเป็นใจให้เขาบ่อยมากๆ
4) นิวคาสเซิล มักจะแพ้ทางลิเวอร์พูล ครั้งสุดท้ายที่นิวคาสเซิล บุกมาชนะได้ที่แอนฟิลด์ เกิดขึ้นในเดือนเมษายนปี 1994 จากนั้นมา นิวคาสเซิลมาเยือนแอนฟิลด์อีก 28 นัด ไม่เคยชนะเลยแม้แต่หนเดียว (เสมอ 5 แพ้ 23)
อีกสถิติที่ลิเวอร์พูลข่ม คือในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้เล่นพรีเมียร์ลีก กลางสัปดาห์ในบ้านตัวเอง พวกเขาชนะ 100% แค่สถิติก็ได้เปรียบเยอะแล้ว
5) ในวันแถลงข่าวก่อนแมตช์ สล้อธถูกถามว่า ทำไมเลือกใช้นักเตะตัวหลักซ้ำๆ ไม่ค่อยพัก ไม่ค่อยโรเทชั่น ไม่กลัวนักเตะจะเจ็บหรือ สล้อธตอบว่า “นักเตะเหล่านี้ถูกฝึกมาเพื่อการนี้ พวกเขาพร้อมลงเล่นต่อเนื่อง” สล้อธมองว่าถ้าดร็อปไป ส่งสำรองลงเล่น จะทำให้โมเมนตั้มของทีมเสียมากกว่า ดังนั้นถ้ายังเล่นไหว ก็ต้องลุยกันต่อไปก่อน
6) เกมเริ่มต้น ด้วยความที่นิวคาสเซิล ไม่มีอิซัคค้ำหน้า แต่ใช้คัลลัม วิลสันแทน ศักยภาพเกมรุกก็ลดฮวบไปเลย 10 นาทีแรกของเกม ลิเวอร์พูลครองบอล 88% นิวคาสเซิลตั้งลำไม่ได้เลย โดนนวดไปเรื่อยๆ อยู่แบบนั้น
7) ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 11 บอลเริ่มจากฝั่งตัวเอง ค่อยๆ ลำเลียงมาช้าๆ ก่อนสุดท้ายโชต้าจะจ่ายทางซ้ายให้หลุยส์ ดิอาซ ปาดเข้ากลางมา และเป็นโดมินิค โซโบสไล ยิงแบบไม่จับ ผ่านมือนิค โป๊ป เข้าไปเลย
โซโบสไล ยิงลอดขานักเตะนิวคาสเซิล 2 คนพร้อมกัน ก่อนหน้านี้เกมกับแมนฯ ซิตี้ เขาก็ยิงลอดขาคู่แข่งเข้าเช่นกัน สองประตูของโซโบสไล เกิดขึ้นจากการยืนตำแหน่งที่ถูกต้องของเขา
กองกลางตัวรุก ไปยืนรอบอลในเขตโทษ แล้วให้ปีกซ้าย-ขวา ป้อนบอลมาให้ หน้าที่ของโซโบสไล ก็แค่ต้องจบให้ได้เท่านั้น
8) นี่คือการยิงประตู 2 เกมติดต่อกัน เป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก ตั้งแต่เข้าย้ายมาลิเวอร์พูล ตอนนี้ความมั่นใจของโซโบสไล พุ่งทะยานติดเพดาน เขาการันตีตัวจริงแน่ๆ ด้วยฟอร์มระดับนี้
ไม่ใช่แค่ยิงได้ แต่ความขยันของเขานี่สุดจริงๆ Touch Map ของโซโบสไลในเกมนี้ เขาจับบอล 61 ครั้ง ในทั่วพื้นที่ของสนาม ปีกซ้าย ปีกขวา ตรงกลาง เขตโทษตัวเอง เขตโทษคู่แข่ง ไปอยู่ตรงไหนก็เจอเขามาป้วนเปี้ยนตลอด
ตอนที่โซโบสไล ล้มลงไปกับพื้นราวๆ นาที 48 แฟนบอลหงส์แดงใจหายแป้วเลยทีเดียว เพราะถ้ามาเดี้ยงอะไรตอนนี้ ทีมจะเสียสมดุลเลย โชคดีที่เขาลุกขึ้นมา และลงเล่นได้ต่อเนื่องจนจบเกม
9) สถิติที่น่าสนใจในครึ่งแรก คือลิเวอร์พูลโจมตีทางฝั่งซ้าย ดิอาซ-ซิมิกาส มากถึง 49% (ตรงกลาง 27%, ทางขวา 24%) ประตูนำ 1-0 ก็ฝั่งซ้าย คือลิเวอร์พูลจะพลิกแพลงตลอด บางครั้งจะเน้นขวาใช้ ซาลาห์-เทรนต์ เป็นคนลำเลียงบอล แต่คราวนี้เลือกโจมตีด้านซ้ายแทน แล้วก็ได้ผลด้วย
10) ครึ่งแรกลิเวอร์พูลนำ 1-0 พอนกหวีดดังปั๊บ สล้อธวิ่งจากที่นั่งบนบ็อกซ์วีไอพี เข้าไปห้องแต่งตัวทันที เพราะการโดนแบน จะแบนแค่ตอนนั่งซุ้มสำรองแค่นั้น
11) นาทีที่ 51 การแข่งขันอีกสนาม ระหว่างฟอเรสต์ กับ อาร์เซน่อล จบลงด้วยสกอร์ 0-0 ทำให้แฟนหงส์แดง พร้อมใจกันร้องเพลง “We’re gonna win the league” กันอย่างกึกก้องทั่วแอนฟิลด์ เพราะถ้าชนะเกมนี้ ช่องว่างก็ฉีกหนีไปเป็น 13 แต้ม พูดตรงๆ คือไม่มีทางที่อาร์เซน่อลจะไล่ทันแน่นอน
12) แม้ทีมจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่หงส์แดงชุดนี้ยังมีกลิ่นอายบางอย่างจากยุคเจอร์เก้น คล็อปป์อยู่ สิ่งนั้นคือการไล่เพรสซิ่งไปถึงแดนบน กองหน้า – กองกลาง จะช่วยไล่บี้ ตั้งแต่เซ็นเตอร์แบ็กของคู่แข่งครองบอล บีบจนเสียบอลมาให้ แล้วบุกกลับทันที
คล็อปป์เคยบอกว่า ถ้าตัดบอลได้ แล้วเริ่มบุกจากแดนคู่แข่ง ยังไงก็มีโอกาสทำประตูได้มากกว่าการเริ่มเซ็ตบอลจากแดนตัวเอง ดังนั้นเขาสนับสนุนให้หงส์แดง ไล่บี้แย่งบอลมาให้ได้ กองหน้า-กองกลาง ต้องทำงานหนัก ไม่ใช่แค่ยิงประตูอย่างเดียว
13) นาทีที่ 63 อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ ตัดบอลได้กลางสนาม จากนั้นโต้กลับเร็วทันที เขาทะลวงเข้าไปเกือบถึงเขตโทษ จากนั้นก็จ่ายให้ซาลาห์ทางขวา ซาลาห์ดึงจังหวะนิดเดียว แล้วจ่ายคืนให้แม็คอัลลิสเตอร์ ยิงตามน้ำทันที หงส์แดงนำ 2-0
จากจังหวะที่แม็คอัลลิสเตอร์ตัดบอลได้ จนถึงช็อตที่บอลเข้าไปกองก้นตาข่าย ใช้เวลาแค่ “11 วินาที” เท่านั้น นี่คือการตัดบอลและสวนกลับ ที่มีประสิทธิภาพอีกครั้ง
สองประตูที่ลิเวอร์พูลทำได้ มีลักษณะคล้ายๆ กันคือ ปีกส่งให้กองกลางจบสกอร์ ลูกแรกดิอาซส่งให้โซโบสไล ลูกสองซาลาห์ส่งให้แม็คอัลลิสเตอร์ จะเห็นว่านัดนี้นิวคาสเซิลรับมือกับกองกลางของหงส์แดงไม่ได้เลย
การที่คุณทำ 2 ประตูที่คล้ายๆ กันแบบนี้ได้ แปลว่าต้องมีการซักซ้อมกันมาอย่างดีแล้ว พอถึงวันแข่งจริงก็ใช้การได้เลยไม่มีพลาด
14) ปีนี้ แม็คอัลลิสเตอร์ พัฒนาขึ้นมากๆ เกมรุกยิงได้ต่อเนื่อง ขณะที่เกมรับ พอต้องลงไปเล่นในบทบาท Double Pivot คู่กับไรอัน กราเวนเบิร์ช เขาก็ทำได้ดี
สถิติที่น่าสนใจหนึ่งอย่างคือ นักเตะท็อปทรีของลีกที่มีสถิติบล็อกลูกยิงคู่แข่งมากที่สุด อันดับหนึ่งคือ มูริลโล่ของฟอเรสต์ (54 ครั้ง), อันดับสอง คือไทริก มิตเชลล์ ของพาเลซ (53 ครั้ง) และ อันดับสาม คือแม็คอัลลิสเตอร์ (52 ครั้ง) จะสังเกตว่าในท็อปทรี แม็คอัลลิสเตอร์คือกองกลางเพียงคนเดียว ส่วนอีกสองคนคือกองหลัง
เราพูดกันบ่อยๆ ว่าค่าตัวของแม็คอัลลิสเตอร์ ในราคา 35 ล้านปอนด์ ที่ซื้อมาจากไบรท์ตัน มันคุ้มค่าราวกับได้เปล่าเลยทีเดียว
15) คนแอสซิสต์ลูกนี้ คือ ซาลาห์ คนดีคนเดิม กับแอสซิสต์ที่ 17 เข้าไปแล้ว เป็นตัวแอสซิสต์อันดับ 1 ในอังกฤษ ในยุโรป และถ้านับ “ทั้งโลก” ในฤดูกาลนี้ ซาลาห์ แอสซิสต์เป็นรองแค่ มักซีม เลสเตียนเต้ ของไลออน ซิตี้ เซเลอร์ส จากลีกสิงคโปร์ แค่คนเดียวเท่านั้น (20 แอสซิสต์) แต่ก็แน่นอน เลเวลของคู่แข่งซาลาห์ กับ คู่แข่งเลสเตียนเต้ มันต่างกันคนละเรื่องอยู่แล้ว
ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก มีนักเตะที่แอสซิสต์ในฤดูกาลเดียว มากกว่าซาลาห์ (17 ครั้ง) อยู่ 5 คนเท่านั้น ได้แก่ เธียร์รี่ อองรี กับ เควิน เดอ บรอยน์ (20 ครั้ง ทั้งคู่) และ เมซุต โอซิล, เชส ฟาเบรกาส, แฟรงค์ แลมพาร์ด (18 ครั้ง ทั้ง 3 คน)
แต่ซาลาห์ยังสามารถทำลายสถิติของทุกคนได้ ตอนนี้เขาทำได้ 17 แอสซิสต์แล้ว ขอแค่อีก 4 ครั้งเท่านั้น ก็จะยืนอันดับหนึ่งตลอดกาลทันที
ฤดูกาลนี้ ซาลาห์เล่นเหมือนลีโอเนล เมสซี่ ในช่วงปีหลังๆ ที่บาร์เซโลน่า คือทั้งยิง ทั้งแอสซิสต์ เป็นตัวจบสกอร์ และเป็นเพลย์เมกเกอร์ในคนเดียวกัน
16) มีนักข่าวถามอาร์เน่อ สล้อธ เรื่องบัลลงดอร์ สล้อธตอบอย่างระวังว่า “ถ้าทีมของเราชนะรายการสำคัญ ก็มีโอกาสที่เขาจะไปถึงบัลลงดอร์ มากขึ้น ถ้าเราชนะแชมเปี้ยนส์ลีก โอกาสของเขาก็จะเปิดกว้าง”
“ฟุตบอลเป็นแบบนี้ คุณจำเป็นต้องพาทีมชนะด้วย ถึงจะได้รางวัลส่วนตัว และโม ก็เข้าใจเรื่องนี้ดี”
เป็นการกระตุ้น ทั้งซาลาห์ และนักเตะทุกคน ว่าถ้าคุณอยากเห็นเพื่อนได้บัลลงดอร์ ก็จำเป็นต้องคว้าแชมป์รายการสำคัญให้ได้ ทุกคนต้องตั้งใจเล่นที่สุด ในหน้าที่ของตัวเอง
ซาลาห์ หยุดสถิติยิงประตู 6 เกมรวด ลงในเกมนี้ เขายิงเพิ่มไม่ได้ แต่อย่างน้อย คนที่เล่นแฟนตาซี ก็ไม่ Blank เพราะซาลาห์ทำแอสซิสต์ได้ ได้แต้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ยังดี
17) ณ เวลานี้ ไม่มีการพูดเรื่องสัญญากันแล้ว ซาลาห์อธิบายทุกอย่างไปหมดแล้ว และสโมสรก็ต้องรู้ดีว่าซาลาห์สำคัญแค่ไหน ถ้าหากทีมหงส์แดง ปล่อยนักเตะว่าที่บัลลงดอร์ไปจากทีม ก็ไม่รู้จะหาคำไหนมาพูดเลยจริงๆ
18) พอนำ 2-0 สิ่งที่อาร์เน่อ สล้อธสั่งการให้ไฮติงก้าทำ คือ “ปิดเกม” เขาส่งวาตารุ เอ็นโด กับ ยาเรลล์ ควอนซาห์ ลงแทน เทรนต์ กับ กราเวนเบิร์ช ตามลำดับ คือจะเป็นอันรู้กันเลยว่า เอ็นโดลงมาเมื่อไหร่ ทีมจะรักษาสกอร์นี้เอาไว้จนจบเกม เกมรับจะแน่นขึ้น เกมรุกจะพลังลดลง เน้นที่การเก็บสามแต้มเอาไว้ก่อน
มีสถิติที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเอ็นโด คือ เขาถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม 13 เกมในพรีเมียร์ลีก (จากทั้งหมด 27 นัดที่หงส์ลงเล่น) ช่วงเวลาที่มีเขาอยู่ในสนาม ลิเวอร์พูลเสียประตูแค่ 1 ลูก เท่านั้น คือในเกมที่ชนะอิปสวิช 4-1 แต่นัดอื่นๆ เมื่อเอ็นโดลงเล่นปั๊บ เกมรับจะแข็งอย่างฉับพลันทันที และไม่เสียประตูให้ใครทั้งนั้น
กราเวนเบิร์ช คือมิดฟิลด์ตัวรับเบอร์หนึ่ง พอรับบอลมาก็จะพลิกแล้วเล่นต่อ ช่วยเพื่อนบุก แต่เอ็นโดเขาพลิกแบบนั้นไม่ได้ เขาเล่นเอาชัวร์ จ่ายบอลออกซ้ายออกขวา แน่นอนว่าทำให้พลังเกมรุกลดลง แต่สิ่งที่แลกมา คือเซนส์เกมรับที่ดีเลิศ เสียบแย่งบอลได้ตลอด ทำให้งานของคู่เซ็นเตอร์แบ็กง่ายกว่าเดิม
ในฤดูกาลนี้ บทบาทของเอ็นโด ก็จะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คือรอโอกาสข้างสนาม ถ้าทีมขึ้นนำแล้วต้องการรักษาสกอร์ ก็จะใช้งานเขามาปิดเกม คืออาจไม่ได้เป็นฮีโร่ ที่ได้ลงตัวจริงต่อเนื่อง จนคว้ารางวัลผู้เล่นประจำเดือนของสโมสรมาแล้ว แต่เอ็นโดก็ยังมีประโยชน์กับทีมอยู่ สล้อธจะใช้งานเขาไปยาวๆ จนจบซีซั่น
19) รูปเกมไม่มีอะไรหวือหวา ลิเวอร์พูลมายิงเข้าประตูในนาที 90 จากโคดี้ กั๊กโป แต่กรรมการเป่าฟาวล์เพราะอิบราฮิม่า โกนาเต้ ไปค้ำผู้รักษาประตูนิค โป๊ป ก่อนแล้ว สกอร์เลยถูกริบไป
20) หลังจากทดเจ็บ 7 นาที เกมก็จบลง ด้วยสกอร์ 2-0 ทั้งเกมลิเวอร์พูลยิงตรงกรอบแค่ 3 ครั้งเท่านั้น คือพอตั้งใจปิดเกม ก็เอาให้จบแบบชัวร์ๆ ไปเลย ไม่เร่งบุกอะไรอีกแล้ว ค่อยๆ เคาะไป ดึงเวลาให้หมดลง
การเล่นช้าลง เล่นรัดกุม ทำให้นิวคาสเซิลไม่ได้โอกาสตอบโต้เลย สรุปคือทั้งเกมพวกเขายิงไม่เข้ากรอบแม้แต่หนเดียว
เท่ากับว่าสัปดาห์อันตราย ที่หงส์ต้องเจอ 3 ทีม คือเยือนวิลล่า เยือนซิตี้ และ เหย้านิวคาสเซิล สามารถเก็บได้ถึง 7 คะแนน ก็ถือว่าผ่านมาได้อย่างสวยงามจริงๆ และไม่ได้อันตรายอย่างที่ใครๆ ก็ประเมินเอาไว้
21) สล้อธ มีส่วนผสมบางอย่าง ของเจอร์เก้น คล็อปป์ กับ ราฟาเอล เบนิเตซ เขาสนับสนุนให้ลูกทีมเล่นเกมรุก ใช้เกมเพรสซิ่ง ใช้การเคาน์เตอร์แอทแท็ก แต่ก็ชอบเล่นชัวร์ ใช้แท็กติกเสริม เพื่อให้ชนะแน่นอน เหมือนเบนิเตซ
คือเราต้องชมผู้บริหารของลิเวอร์พูลจริงๆ ที่เลือกโค้ชได้ถูกคน ตอนแรกที่พลาดชาบี อลอนโซ่ แล้วไปเลือกสล้อธมาเสียบแทนคล็อปป์ ผู้คนก็ไม่ได้คาดหวังว่าสล้อธจะทำทีมได้ลุ้นแชมป์ คือหวังว่าจะท็อปโฟร์ในปีแรกก็โอเคแล้ว แต่ผลงานตอนนี้ มันเกินกว่าฝันจริงๆ
22) สำหรับเกมต่อไป ลิเวอร์พูลจะเปลี่ยนโหมด ไปแข่งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายกับเปแอสเช คือทีมหงส์แดง สามารถโฟกัสเกมนั้นได้เต็มที่ เพราะมีช่องว่างในพรีเมียร์ลีกเยอะมากแล้ว อุ่นใจได้ จากนี้ไป ลุยอัดให้เต็มแม็กซ์ในเวทียุโรปได้เลย
23) ตอนนี้ลิเวอร์พูล แข่ง 28 นัด มี 67 แต้ม นำหน้าอาร์เซน่อล แข่ง 27 นัด มี 54 แต้ม อยู่ถึง 13 คะแนน ถ้าหากอาร์เซน่อลชนะเกมตกค้างได้ ก็จะเหลือช่องว่าง 10 คะแนน กับเกมที่เหลืออยู่ 10 นัดสุดท้ายของฤดูกาล
10 คะแนนแปลว่าอะไร? 10 คะแนนแปลว่า ลิเวอร์พูลแพ้คู่แข่งได้ถึง 3 นัด ก็ยังเป็นแชมป์ มันจะเป็นไปได้หรือ เพราะเปิดซีซั่นมาจนถึงวันนี้ ลิเวอร์พูลเพิ่งแพ้ไปแค่ 1 เกมเท่านั้น จะมีเหตุผลอะไร ที่พวกเขาจะมาแพ้รัวๆ 3-4 นัดแบบนั้นได้
หรือต่อให้ลิเวอร์พูลแพ้ 3-4 นัดจริงๆ อาร์เซน่อลก็จะเป็นต้องชนะรวดทั้ง 10 เกมที่เหลือ (ซึ่งก็รวมถึงเกมเยือนแอนฟิลด์ด้วย) ด้วยฟอร์มกระท่อนกระแท่นของทีมปืนใหญ่ ก็ไม่มีทางที่จะชนะ 10 เกมรวดได้เหมือนกัน ก็ต้องมีหลุดมีพลาดเองบ้าง
24) Opta สถาบันสถิติชื่อดัง คำนวณเปอร์เซ็นต์การเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลอยู่ที่ 98.83% ส่วนอาร์เซน่อลอยู่ที่ 1.17% พูดตรงๆ คือเกมจบแล้ว มันโอเวอร์แล้ว
ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก ทีมที่เคยมีแต้มตามหลังมากสุด แล้วคัมแบ็กกลับมาเป็นแชมป์ คืออาร์เซน่อล ในฤดูกาล 1997-98 ตามหลังแมนฯ ยูไนเต็ด 13 แต้ม แต่พลิกกลับมาเป็นแชมป์ได้
แต่ตอนนั้นอาร์เซน่อลมีเกมให้เล่นอีก 19 นัด แต่ในปัจจุบันนี้ อาร์เซน่อลมีเกมให้เล่นอีก 11 นัด มันน้อยเกินไปที่จะพลิกสถานการณ์ได้
25) สิ่งที่แฟนลิเวอร์พูลต้องลุ้นกันคือ จะได้แชมป์เมื่อไหร่, ซาลาห์จะทำลายสถิติไปถึงไหน ไปถึงบัลลงดอร์หรือไม่ และ จะได้มากกว่า 1 แชมป์หรือเปล่า?
หลังจากที่แฟนบอลไม่ได้ร่วมพาเหรด ตอนแชมป์ฤดูกาล 2019-20 เพราะมาตรการกักตัวช่วงโควิด ถ้ามาได้แชมป์ในปีนี้ การฉลองคงจะยิ่งใหญ่อลังการ เป็นสีแดงทั่วเมืองแน่นอน
ลิเวอร์พูลจะได้แชมป์หลังจบ 38 นัด ไม่มีอะไรพลิก และสิ่งที่แฟนบอลชาวไทยทำได้ คือรีบไปซื้อเสื้อลิขสิทธิ์เก็บไว้ได้เลย เพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับซีซั่นแชมป์
เอาเป็นว่าถ้าไม่มีมหันตภัยโรคระบาด หรือ อุกกาบาตชนโลก ถ้าได้แข่ง 38 นัดตามปกติ แชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 จะกลับมาสู่แอนฟิลด์อย่างแน่นอน

About The Author