
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขอเลื่อนโปรแกรมไทยลีก ในแมตช์เจอลำพูน โยกไปเตะในช่วงคาบเกี่ยวฟีฟ่าเดย์ ที่มันเป็นดราม่า เพราะมันไม่ใช่การขอเลื่อนครั้งแรกของทีมปราสาทสายฟ้าในซีซั่นนี้ แต่เป็นครั้งที่ 9 เข้าไปแล้ว จนเกิดคำถามว่า มีประเทศไหนในโลก ที่ปล่อยให้สลับโปรแกรมได้ตามใจชอบขนาดนี้
โปรแกรมตามเดิมของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในเดือนมีนาคม จะมีดังนี้
– เสาร์ที่ 1 มีนาคม : อุทัยธานี (เยือน) – ไทยลีก
– อังคารที่ 4 มีนาคม : ยะโฮร์ (เหย้า) – ACL Elite รอบน็อกเอาต์
– เสาร์ที่ 8 มีนาคม : ลำพูน (เยือน) – ไทยลีก
– อังคารที่ 11 มีนาคม : ยะโฮร์ (เยือน) – ACL Elite รอบน็อกเอาต์
ในประวัติศาสตร์ของบุรีรัมย์ เคยเข้าไปได้ลึกสุดในรายการ ACL คือรอบ 8 ทีมสุดท้าย (ปี 2013)
หลังจากปี 2013 เป็นต้นมา บุรีรัมย์ ก็ไม่ประสบความสำเร็จใน ACL ส่วนใหญ่ตกรอบแบ่งกลุ่ม จะมีปี 2018 ผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้ แต่ก็ร่วงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาฝันมากๆ ว่าจะกลับไปสู่จุดสูงสุดของตัวเอง คือรอบ 8 ทีมสุดท้ายให้ได้อีกครั้ง
แล้วในปีนี้ บุรีรัมย์ฝ่าด่านรอบลีกเฟสได้สำเร็จ เข้ามาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ไปเจอกับ ยะโฮร์ แชมป์ของมาเลเซีย ซึ่งพวกเขาก็มีโอกาสชนะ เพราะเจอยะโฮร์ ยังไงก็อันตรายน้อยกว่า ทีมญี่ปุ่น หรือ ทีมเกาหลี
เพื่อให้ตัวเองพร้อมที่สุดในการเจอยะโฮร์ บุรีรัมย์จึงขอเลื่อนเกมเยือนลำพูน จากเดิมเสาร์ที่ 8 มีนาคม ไปเตะวันพุธที่ 26 มีนาคมแทน
และลำพูนก็ตอบตกลง โดยให้เหตุผลคือ “มิตรภาพ และ น้ำใจ” จากสโมสรสู่สโมสร ยังไงซะ บุรีรัมย์ก็เป็นตัวแทนทีมสุดท้าย ที่จะดึงค่าสัมประสิทธิ์ของไทยลีกให้สูงขึ้นในเวทีเอเชีย
ถามว่าเข้าใจบุรีรัมย์ไหมที่ขอเลื่อน ก็เข้าใจอยู่
ลองคิดตามนะครับ ถ้าตามโปรแกรมเดิม วันที่ 8 มีนาคม แมตช์ลำพูนเตะจบ 20.00 กว่าจะอาบน้ำอะไรเสร็จ คูลดาวน์ร่างกาย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ฯลฯ ทีมจะออกจากสนามได้ก็ต้อง 21.00 น. เป็นอย่างน้อย คือไม่มีทางขึ้นไฟลท์เที่ยวสุดท้ายมาดอนเมืองได้ทันในคืนนั้น
แปลว่ากว่าจะได้บิน ก็วันที่ 9 มีนาคม การ Recovery อะไรๆ ก็ยังทำไม่ค่อยดี แล้วพอไปถึงมาเลเซียปั๊บ ก็อาจจะมีเวลาได้ซ้อมจริงๆ แค่ 1-2 เซสชั่น ก่อนจะแข่งในวันที่ 11 มีนาคม
บุรีรัมย์มองว่า มันทรหดเกินไป ถ้าลงเตะกับลำพูน จะทำให้บุรีรัมย์มีสภาพทีมที่ไม่พร้อมสำหรับการเยือนยะโฮร์ ซึ่งเป็นแมตช์สำคัญที่สุด ดังนั้นก็เลยขอเลื่อนแบบนี้ และสมาคมฟุตบอลก็อนุมัติด้วย
แต่ดราม่ามันเกิดขึ้นจาก 2 เหตุผล
ข้อแรกคือ บุรีรัมย์เลื่อนไปเตะช่วงคาบเกี่ยวกับฟีฟ่าเดย์
ด้วยความที่โปรแกรมที่มีอยู่ของบุรีรัมย์ ก็อัดแน่นไปหมด จนไม่รู้จะลงช่องไหนแล้ว ทำให้เกมเยือนลำพูนถูกยัดเข้าไป ในวันที่ 26 มีนาคม หรือ 1 วัน หลังจากที่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ลงปะทะกับศรีลังกา ในเอเชียนคัพรอบคัดเลือก
การเตะในช่วงฟีฟ่าเดย์ แปลว่าลำพูนจะเสีย 2 นักเตะทีมชาติทันที คือ อนันต์ ยอดสังวาลย์ และ อัครพงศ์ พุ่มวิเศษ ที่หายเจ็บกลับมาแล้ว รวมถึงหม่อง หม่อง ลวิน ตัวทีมชาติเมียนมาร์ และ โมฮาเหม็ด ออสมาน ที่ต้องไปเตะในเอเชียนคัพ รอบคัดเลือกเหมือนกัน
บุรีรัมย์อาจอ้างได้ว่า พวกเขาก็เสียตัวหลักไปเหมือนกัน ถ้าอิชิอิเรียกศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, ศุภชัย ใจเด็ด หรือ ธีราทร บุญมาทัน ยังไงก็ต้องโดนปล่อยตัว รวมถึงผู้เล่นอาเซียน อย่างดิออน คูลส์, นีล เอเธอริดจ์ หรือ เจฟเฟอร์สัน ทาบินาส ก็จะลงไม่ได้ด้วย
แต่สำหรับทีมระดับกลางๆ อย่างลำพูน การเสียคีย์แมน 2-3 คนพร้อมกัน มันส่งผลกระทบรุนแรงกว่าแน่นอน คือแทบจะปิดประตูชนะไปเลย
ข้อสองคือ การขอเลื่อนของบุรีรัมย์ ทำให้โปรแกรมมันชุลมุนไปหมด
ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา นี่คือการเลื่อนโปรแกรมครั้งที่ 9 ของบุรีรัมย์เข้าไปแล้ว
ครั้งที่ 1 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอสลับสนามแข่ง จากบุรีรัมย์ vs ขอนแก่น ให้ไปแข่ง ขอนแก่น vs บุรีรัมย์แทน เพราะสนามช้างอารีน่า ติดใช้งานกิจกรรมอื่น
ครั้งที่ 2 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอเลื่อนเกมเจอท่าเรือ จากเตะวันเสาร์ที่ 14 กันยายน 2567 เปลี่ยนเป็น พฤหัสบดีที่ 12 กันยายนแทน โดยให้เหตุผลว่า อยากเตะเร็วขึ้น เพราะกลางสัปดาห์หน้าต้องรับมือกับวิสเซล โกเบ ใน ACL
ครั้งที่ 3-4-5 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอเอาโปรแกรมไทยลีกในแมตช์ที่คาบเกี่ยวขับ ACL คือแมตช์เจอ บีจี, เมืองทอง และ ราชบุรี ไปยัดรวมกันไว้ในเดือนธันวาคม ช่วง AFF ทั้งหมด
ครั้งที่ 6 (เอฟเอคัพ) บุรีรัมย์ขอเลื่อนโปรแกรมเอฟเอ คัพ รอบ 32 ทีมสุดท้าย กับเอสบีที มหาสารคาม จากเดิมแข่ง 26 มกราคม 2568 ขอเลื่อนมาแข่งล่วงหน้า 18 ธันวาคมแทน เพราะในช่วงปลายมกราคมจะมีคิวแน่น ในศึกช็อปปี้คัพ
ครั้งที่ 7 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอเลื่อนแมตช์ไปเยือนพีที ประจวบ จากเดิมแข่งเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 ขอประจวบมาเตะวันพุธที่ 29 มกราคมแทน เนื่องจากวันที่ 12 กุมภาพันธ์ต้องเตะ ACL กับอุลซาน ฮุนได ซึ่งเป็นเกมชี้ชะตาว่าจะเข้ารอบหรือไม่
ครั้งที่ 8 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอเลื่อนแมตช์เหย้า เจอ บีจี ปทุม จากเดิมแข่งเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ ขอไปเตะวันที่ 12 เมษายนก่อนสงกรานต์แทน เพราะต้องการเตรียมความพร้อม ไปเตะ ACL นัดสุดท้ายรอบลีกเฟสกับกวางจู ที่เกาหลีใต้
และ ครั้งที่ 9 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอเลื่อนแมตช์เจอลำพูน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเจอยะโฮร์
ต้องบอกว่าในประวัติศาสตร์ของไทยลีก ไม่เคยมีทีมไหน โยกย้ายโปรแกรมกันชุลมุนขนาดนี้ ย้ายวัน ย้ายสนาม พัลวันไปหมด
ถ้าเราอ้างอิงตามกฎของสมาคมฟุตบอลนั้น การเปลี่ยนโปรแกรม สามารถทำได้ คือให้ 2 สโมสร ไปตกลงกันมาเอง ว่าจะแข่งเมื่อไหร่ หรือ แข่งที่ไหน จะเปลี่ยนวัน จะสลับสนาม ถ้าตกลงกันได้แล้ว ก็แจ้งมาเลย เดี๋ยวสมาคมจัดการให้
บุรีรัมย์ ใช้ Loophole ตรงนี้ เมื่อกฎบอกว่าทำได้ เราก็ทำเลย ถ้าแมตช์ไหนตัวเองต้องเจอศึกหนักในเวทีเอเชีย ก็ไปเจรจากับทีมไทยลีกเพื่อให้ขอเลื่อน
ทีมไทยส่วนใหญ่ กล้าขอก็กล้าให้ สุดท้ายจึงนำมาสู่การเลื่อนโปรแกรม 9 ครั้ง อย่างที่เราเห็นกัน
ถ้าเราให้ความเป็นธรรมกับบุรีรัมย์ ก็คือ พวกเขาทำตามกฎ และ ถ้าสโมสรคู่แข่งไม่ยอมเสียอย่าง ก็เลื่อนไม่ได้อยู่แล้ว
และอีกอย่าง ฤดูกาลนี้ โปรแกรมของบุรีรัมย์มันก็แน่นมากจริงๆ ไทยลีก, รีโว่คัพ, เอฟเอคัพ, ช็อปปี้คัพ และ ACL Elite 5 ถ้วยพัวพันขนาดนี้ การบริหารจัดการมันก็ยากจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพูดกันแบบคนดูบอลทั่วไปเลยนะครับ ผมคิดว่า มันเยอะเกินไปจริงๆ
เปลี่ยนโปรแกรม 9-10 ครั้ง ต่อซีซั่น มันทำให้ปฏิทินเละเทะมาก
ปัญหาที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น คนแรกที่ต้องตำหนิเลย คือสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และบริษัท ไทยลีก
ผู้ออกกฎนั้นซอฟท์เกินไป โอนอ่อนเกินไป มีอย่างที่ไหน ที่ให้สโมสรไปตกลงกันมาเอง
ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง วิลล่าต้องเจอกับลิเวอร์พูลกลางสัปดาห์ พวกเขาขอเลื่อนไปแข่งในช่วงอื่น เพราะจะลงเตะถี่เกิน แต่สรุปคือพรีเมียร์ลีกปฏิเสธวิลล่า เพราะเขาวางโปรแกรมไว้แล้ว เป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องบริหารจัดการตัวเอง
หรืออย่างในกัลโช่ เซเรีย อา สมมุติตัวแทนของประเทศต้องลงแข่งบอลยุโรปกลางสัปดาห์ เขาจะช่วยเลื่อนโปรแกรม ขยับมาเตะวันศุกร์ให้ หรือไม่ก็ให้เตะวันเสาร์คู่แรกสุดเลย
แต่ในไทยลีก เราโยกย้ายไปไกลแค่ไหนก็ได้ เปลี่ยนกันข้ามเดือนเป็นเรื่องปกติ
สมาคมฟุตบอล กับ ไทยลีก ใจดีกับสโมสร โดยไม่ได้มองในภาพกว้างกว่านั้น ว่าการเลื่อนแต่ละครั้ง คือการสร้างความลำบากให้แฟนบอล
เวลาคุณจะไปดูการแข่งฟุตบอลที่ไหน ต้องวางแผนล่วงหน้า เตรียมรถรา เคลียร์งาน ถ้าเป็นแมตช์เยือน ก็อาจต้องซื้อตั๋วเครื่องบิน หรือ จองโรงแรมด้วย
ถ้าเกมมันเลื่อนกะทันหัน ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ก็เสียเปล่าทันที เหมือนกับคุณจ่ายเงินไปฟรีๆ แต่ไม่มีบอลให้ดู ใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นล่วงหน้าไปแล้ว
เช่นเดียวกับทีมถ่ายทอดสด บริษัทผู้ซื้อลิขสิทธิ์ เขาวาง Year Plan เอาไว้เลย ว่าวันไหน ถ่ายอะไร ต้องเตรียมรถโอบี ล็อกคิวทีมงานฯลฯ ถ้าหากโปรแกรมเลื่อนกะทันหัน ทีมโปรดักชั่นก็ต้องปวดหัวอีก
ลองคิดดูว่า ถ้ามีเคเบิ้ลทีวีของต่างชาติมาซื้อลิขสิทธิ์ไทยลีกไป แล้วเจอสถานการณ์ เดี๋ยวเลื่อน เดี๋ยวเปลี่ยนโปรแกรม ทีวีต่างชาติเขาจะไม่มึนหรอ
Ecosystem ของฟุตบอล ไม่ได้มีแต่สโมสรเตะกัน มันมีองค์ประกอบอื่นด้วย ทั้งแฟนบอล ทั้งทีมถ่ายทอดสด ถ้าปล่อยให้ทำอะไรตามใจแบบนี้ ไทยลีกมันจะโตได้อย่างไร
ไม่ใช่แค่สมาคมเท่านั้น ที่ควรเก็บเรื่องนี้ไปแก้ไข ฝั่งบุรีรัมย์เองก็ต้องพิจารณาว่า การกระทำแบบนี้มันสมควรหรือเปล่า
ถ้าคุณเห็นช่องว่างของกฎ แล้วใช้ประโยชน์จากมัน ขอเลื่อนทุกครั้งที่มีโอกาส โดยอ้างว่า “เราทำตามกติกา”
ไอ้ทำน่ะทำได้ แต่คำถามคือ มันสง่างามหรือไม่?
ในฐานะทีมระดับแถวหน้าของประเทศ คุณต้องสร้างบาร์สูงๆ สร้างมาตรฐานเอาไว้ ว่าเราจะลงเล่นตามโปรแกรมทุกสัปดาห์ เป็นแบบอย่างให้ทุกทีมได้เห็น ว่าเราจะขอเลื่อนต่อเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ ไม่ใช่เอะอะ ก็ขอเลื่อนง่ายๆ แบบนี้
แล้วเอาจริงๆ บุรีรัมย์ตอนไปเจอลำพูน ถ้ากลัวนักเตะเหนื่อย ก็ส่งชุด B ไปก็ได้นี่ เก็บผู้เล่นชุด A ให้สดที่สุด คุณมี Squad ที่ใหญ่ขนาดนั้น มีเยาวชนทีมชาติระดับ u-20 ตั้ง 12 คน ก็โรเทชั่นกันไปสิ ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหนเลย
แล้วถ้าโรเทชั่นแพ้ลำพูนก็แล้วไง แต้มคุณห่างจากอันดับสองตั้ง 7 คะแนน คุณจะเข้าป้ายคว้าแชมป์ไม่ได้เชียวหรือ
สัจธรรมของบอลสโมสร ถ้าอยากได้แชมป์ทุกรายการ คุณก็ต้องมีขุมกำลังที่สมบูรณ์พอ แค่นั้นเอง ไม่ใช่อยากได้แชมป์ทุกรายการ ก็เลยขอเลื่อนเอาเพื่อให้เข้าทางตัวเองมากที่สุด
แน่นอน อาจจะมีคนพูดว่า บุรีรัมย์ก็แค่ขอเลื่อนตามสิทธิ์ ถ้าสโมสรคู่แข่งไม่ยอมเสียอย่าง ใครจะไปทำอะไรได้
แต่เราก็รู้ไม่ใช่หรือ ว่าในประเทศไทย มันมีความพึ่งพา ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอยู่แล้ว ไม่แปลกเลย ที่หลายทีมอยากรักษาความสัมพันธ์อันดีกับทีมใหญ่อย่างบุรีรัมย์เอาไว้ เพราะอนาคตอาจจะซื้อขาย-ยืมตัว นักเตะระหว่างกันก็ได้
นอกจากนั้น ถ้าบุรีรัมย์อ้างว่า ขอเลื่อนเพื่อไปสร้างสัมประสิทธิ์ให้ประเทศ สมมุติอีกทีมปฏิเสธก็จะดูแล้งน้ำใจหรือเปล่า คือบางกรณีมันก็คงตอบปฏิเสธ ยากกว่าตอบตกลง
บทสรุปของเรื่องนี้ จะเป็นการบ้านให้มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ในฐานะนายกสมาคมฯ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยลีก ได้เอาไปแก้ไข เพื่อไม่ให้ความชุลมุนแบบนี้เกิดขึ้นในฤดูกาลหน้าอีกครับ มันควรจะมีกฎเกณฑ์ที่แข็งแรงกว่านี้ ในการจะอนุมัติให้เลื่อนแต่ละครั้ง
เป็นผู้คุมกฎแล้ว อย่าซอฟต์สิครับ หนักแน่นในหลักการหน่อย
ที่ฝรั่งเศส วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม จะมีบิ๊กแมตช์ระหว่างเปแอสเช กับ ลิลล์ ปัญหาคือวันอังคารที่ 5 ลิลล์จะเจอดอร์ทมุนด์ ส่วนพุธที่ 6 เปแอสเช จะเจอลิเวอร์พูล ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของแชมเปี้ยนส์ลีก
เปแอสเช กับ ลิลล์ เลยจับมือกันแจ้งไปที่ บริษัท ฟุตบอลลีกอาชีพฝรั่งเศส (LFP) ขอเลื่อนโปรแกรมวันที่ 1 มีนาคม เพื่อให้ทั้งสองทีม สดทั้งคู่ ก่อนทำศึกใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก
ปรากฏว่า LFP ไม่อนุมัติ เพราะโปรแกรมมันวางไว้แล้ว และทั้งสองทีมก็ต้องแข่ง 1 มีนาคมตามเดิม นี่ล่ะครับ คือความหนักแน่นของผู้ที่ถือกฎอยู่ในมือ
ปีนี้ แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะมันเลื่อนกันมาขนาดนี้จนจบจบลีกอีกแค่ไม่กี่เดือน แต่ก็หวังว่าจะเอาไปทบทวน เพื่อทำให้ไทยลีกซีซั่น 2568-69 มีความสมบูรณ์มากขึ้นกว่าเดิมครับ
ส่วนบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็เอาใจช่วย ให้เข้ารอบไปลึกกว่านี้ ใน ACL Elite เข้าไปเจออัล นาสเซอร์ให้ได้เลยนะครับ คืออุตส่าห์ยอมแลกกับการโดนต่อว่าขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยก็ควรได้ชัยชนะในรายการเอเชียคืนมา มันถึงจะคุ้มค่านะ
แต่การเลื่อนโปรแกรมในฤดูกาลนี้ ก็พอแล้วนะครับ 9 ครั้งเยอะแล้วนะ อย่าให้มีครั้งที่ 10 เลยเนอะ
โปรแกรมตามเดิมของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในเดือนมีนาคม จะมีดังนี้
– เสาร์ที่ 1 มีนาคม : อุทัยธานี (เยือน) – ไทยลีก
– อังคารที่ 4 มีนาคม : ยะโฮร์ (เหย้า) – ACL Elite รอบน็อกเอาต์
– เสาร์ที่ 8 มีนาคม : ลำพูน (เยือน) – ไทยลีก
– อังคารที่ 11 มีนาคม : ยะโฮร์ (เยือน) – ACL Elite รอบน็อกเอาต์
ในประวัติศาสตร์ของบุรีรัมย์ เคยเข้าไปได้ลึกสุดในรายการ ACL คือรอบ 8 ทีมสุดท้าย (ปี 2013)
หลังจากปี 2013 เป็นต้นมา บุรีรัมย์ ก็ไม่ประสบความสำเร็จใน ACL ส่วนใหญ่ตกรอบแบ่งกลุ่ม จะมีปี 2018 ผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้ แต่ก็ร่วงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาฝันมากๆ ว่าจะกลับไปสู่จุดสูงสุดของตัวเอง คือรอบ 8 ทีมสุดท้ายให้ได้อีกครั้ง
แล้วในปีนี้ บุรีรัมย์ฝ่าด่านรอบลีกเฟสได้สำเร็จ เข้ามาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ไปเจอกับ ยะโฮร์ แชมป์ของมาเลเซีย ซึ่งพวกเขาก็มีโอกาสชนะ เพราะเจอยะโฮร์ ยังไงก็อันตรายน้อยกว่า ทีมญี่ปุ่น หรือ ทีมเกาหลี
เพื่อให้ตัวเองพร้อมที่สุดในการเจอยะโฮร์ บุรีรัมย์จึงขอเลื่อนเกมเยือนลำพูน จากเดิมเสาร์ที่ 8 มีนาคม ไปเตะวันพุธที่ 26 มีนาคมแทน
และลำพูนก็ตอบตกลง โดยให้เหตุผลคือ “มิตรภาพ และ น้ำใจ” จากสโมสรสู่สโมสร ยังไงซะ บุรีรัมย์ก็เป็นตัวแทนทีมสุดท้าย ที่จะดึงค่าสัมประสิทธิ์ของไทยลีกให้สูงขึ้นในเวทีเอเชีย
ถามว่าเข้าใจบุรีรัมย์ไหมที่ขอเลื่อน ก็เข้าใจอยู่
ลองคิดตามนะครับ ถ้าตามโปรแกรมเดิม วันที่ 8 มีนาคม แมตช์ลำพูนเตะจบ 20.00 กว่าจะอาบน้ำอะไรเสร็จ คูลดาวน์ร่างกาย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ฯลฯ ทีมจะออกจากสนามได้ก็ต้อง 21.00 น. เป็นอย่างน้อย คือไม่มีทางขึ้นไฟลท์เที่ยวสุดท้ายมาดอนเมืองได้ทันในคืนนั้น
แปลว่ากว่าจะได้บิน ก็วันที่ 9 มีนาคม การ Recovery อะไรๆ ก็ยังทำไม่ค่อยดี แล้วพอไปถึงมาเลเซียปั๊บ ก็อาจจะมีเวลาได้ซ้อมจริงๆ แค่ 1-2 เซสชั่น ก่อนจะแข่งในวันที่ 11 มีนาคม
บุรีรัมย์มองว่า มันทรหดเกินไป ถ้าลงเตะกับลำพูน จะทำให้บุรีรัมย์มีสภาพทีมที่ไม่พร้อมสำหรับการเยือนยะโฮร์ ซึ่งเป็นแมตช์สำคัญที่สุด ดังนั้นก็เลยขอเลื่อนแบบนี้ และสมาคมฟุตบอลก็อนุมัติด้วย
แต่ดราม่ามันเกิดขึ้นจาก 2 เหตุผล
ข้อแรกคือ บุรีรัมย์เลื่อนไปเตะช่วงคาบเกี่ยวกับฟีฟ่าเดย์
ด้วยความที่โปรแกรมที่มีอยู่ของบุรีรัมย์ ก็อัดแน่นไปหมด จนไม่รู้จะลงช่องไหนแล้ว ทำให้เกมเยือนลำพูนถูกยัดเข้าไป ในวันที่ 26 มีนาคม หรือ 1 วัน หลังจากที่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ลงปะทะกับศรีลังกา ในเอเชียนคัพรอบคัดเลือก
การเตะในช่วงฟีฟ่าเดย์ แปลว่าลำพูนจะเสีย 2 นักเตะทีมชาติทันที คือ อนันต์ ยอดสังวาลย์ และ อัครพงศ์ พุ่มวิเศษ ที่หายเจ็บกลับมาแล้ว รวมถึงหม่อง หม่อง ลวิน ตัวทีมชาติเมียนมาร์ และ โมฮาเหม็ด ออสมาน ที่ต้องไปเตะในเอเชียนคัพ รอบคัดเลือกเหมือนกัน
บุรีรัมย์อาจอ้างได้ว่า พวกเขาก็เสียตัวหลักไปเหมือนกัน ถ้าอิชิอิเรียกศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, ศุภชัย ใจเด็ด หรือ ธีราทร บุญมาทัน ยังไงก็ต้องโดนปล่อยตัว รวมถึงผู้เล่นอาเซียน อย่างดิออน คูลส์, นีล เอเธอริดจ์ หรือ เจฟเฟอร์สัน ทาบินาส ก็จะลงไม่ได้ด้วย
แต่สำหรับทีมระดับกลางๆ อย่างลำพูน การเสียคีย์แมน 2-3 คนพร้อมกัน มันส่งผลกระทบรุนแรงกว่าแน่นอน คือแทบจะปิดประตูชนะไปเลย
ข้อสองคือ การขอเลื่อนของบุรีรัมย์ ทำให้โปรแกรมมันชุลมุนไปหมด
ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา นี่คือการเลื่อนโปรแกรมครั้งที่ 9 ของบุรีรัมย์เข้าไปแล้ว
ครั้งที่ 1 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอสลับสนามแข่ง จากบุรีรัมย์ vs ขอนแก่น ให้ไปแข่ง ขอนแก่น vs บุรีรัมย์แทน เพราะสนามช้างอารีน่า ติดใช้งานกิจกรรมอื่น
ครั้งที่ 2 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอเลื่อนเกมเจอท่าเรือ จากเตะวันเสาร์ที่ 14 กันยายน 2567 เปลี่ยนเป็น พฤหัสบดีที่ 12 กันยายนแทน โดยให้เหตุผลว่า อยากเตะเร็วขึ้น เพราะกลางสัปดาห์หน้าต้องรับมือกับวิสเซล โกเบ ใน ACL
ครั้งที่ 3-4-5 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอเอาโปรแกรมไทยลีกในแมตช์ที่คาบเกี่ยวขับ ACL คือแมตช์เจอ บีจี, เมืองทอง และ ราชบุรี ไปยัดรวมกันไว้ในเดือนธันวาคม ช่วง AFF ทั้งหมด
ครั้งที่ 6 (เอฟเอคัพ) บุรีรัมย์ขอเลื่อนโปรแกรมเอฟเอ คัพ รอบ 32 ทีมสุดท้าย กับเอสบีที มหาสารคาม จากเดิมแข่ง 26 มกราคม 2568 ขอเลื่อนมาแข่งล่วงหน้า 18 ธันวาคมแทน เพราะในช่วงปลายมกราคมจะมีคิวแน่น ในศึกช็อปปี้คัพ
ครั้งที่ 7 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอเลื่อนแมตช์ไปเยือนพีที ประจวบ จากเดิมแข่งเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 ขอประจวบมาเตะวันพุธที่ 29 มกราคมแทน เนื่องจากวันที่ 12 กุมภาพันธ์ต้องเตะ ACL กับอุลซาน ฮุนได ซึ่งเป็นเกมชี้ชะตาว่าจะเข้ารอบหรือไม่
ครั้งที่ 8 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอเลื่อนแมตช์เหย้า เจอ บีจี ปทุม จากเดิมแข่งเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ ขอไปเตะวันที่ 12 เมษายนก่อนสงกรานต์แทน เพราะต้องการเตรียมความพร้อม ไปเตะ ACL นัดสุดท้ายรอบลีกเฟสกับกวางจู ที่เกาหลีใต้
และ ครั้งที่ 9 (ไทยลีก) บุรีรัมย์ขอเลื่อนแมตช์เจอลำพูน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเจอยะโฮร์
ต้องบอกว่าในประวัติศาสตร์ของไทยลีก ไม่เคยมีทีมไหน โยกย้ายโปรแกรมกันชุลมุนขนาดนี้ ย้ายวัน ย้ายสนาม พัลวันไปหมด
ถ้าเราอ้างอิงตามกฎของสมาคมฟุตบอลนั้น การเปลี่ยนโปรแกรม สามารถทำได้ คือให้ 2 สโมสร ไปตกลงกันมาเอง ว่าจะแข่งเมื่อไหร่ หรือ แข่งที่ไหน จะเปลี่ยนวัน จะสลับสนาม ถ้าตกลงกันได้แล้ว ก็แจ้งมาเลย เดี๋ยวสมาคมจัดการให้
บุรีรัมย์ ใช้ Loophole ตรงนี้ เมื่อกฎบอกว่าทำได้ เราก็ทำเลย ถ้าแมตช์ไหนตัวเองต้องเจอศึกหนักในเวทีเอเชีย ก็ไปเจรจากับทีมไทยลีกเพื่อให้ขอเลื่อน
ทีมไทยส่วนใหญ่ กล้าขอก็กล้าให้ สุดท้ายจึงนำมาสู่การเลื่อนโปรแกรม 9 ครั้ง อย่างที่เราเห็นกัน
ถ้าเราให้ความเป็นธรรมกับบุรีรัมย์ ก็คือ พวกเขาทำตามกฎ และ ถ้าสโมสรคู่แข่งไม่ยอมเสียอย่าง ก็เลื่อนไม่ได้อยู่แล้ว
และอีกอย่าง ฤดูกาลนี้ โปรแกรมของบุรีรัมย์มันก็แน่นมากจริงๆ ไทยลีก, รีโว่คัพ, เอฟเอคัพ, ช็อปปี้คัพ และ ACL Elite 5 ถ้วยพัวพันขนาดนี้ การบริหารจัดการมันก็ยากจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพูดกันแบบคนดูบอลทั่วไปเลยนะครับ ผมคิดว่า มันเยอะเกินไปจริงๆ
เปลี่ยนโปรแกรม 9-10 ครั้ง ต่อซีซั่น มันทำให้ปฏิทินเละเทะมาก
ปัญหาที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น คนแรกที่ต้องตำหนิเลย คือสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และบริษัท ไทยลีก
ผู้ออกกฎนั้นซอฟท์เกินไป โอนอ่อนเกินไป มีอย่างที่ไหน ที่ให้สโมสรไปตกลงกันมาเอง
ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง วิลล่าต้องเจอกับลิเวอร์พูลกลางสัปดาห์ พวกเขาขอเลื่อนไปแข่งในช่วงอื่น เพราะจะลงเตะถี่เกิน แต่สรุปคือพรีเมียร์ลีกปฏิเสธวิลล่า เพราะเขาวางโปรแกรมไว้แล้ว เป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องบริหารจัดการตัวเอง
หรืออย่างในกัลโช่ เซเรีย อา สมมุติตัวแทนของประเทศต้องลงแข่งบอลยุโรปกลางสัปดาห์ เขาจะช่วยเลื่อนโปรแกรม ขยับมาเตะวันศุกร์ให้ หรือไม่ก็ให้เตะวันเสาร์คู่แรกสุดเลย
แต่ในไทยลีก เราโยกย้ายไปไกลแค่ไหนก็ได้ เปลี่ยนกันข้ามเดือนเป็นเรื่องปกติ
สมาคมฟุตบอล กับ ไทยลีก ใจดีกับสโมสร โดยไม่ได้มองในภาพกว้างกว่านั้น ว่าการเลื่อนแต่ละครั้ง คือการสร้างความลำบากให้แฟนบอล
เวลาคุณจะไปดูการแข่งฟุตบอลที่ไหน ต้องวางแผนล่วงหน้า เตรียมรถรา เคลียร์งาน ถ้าเป็นแมตช์เยือน ก็อาจต้องซื้อตั๋วเครื่องบิน หรือ จองโรงแรมด้วย
ถ้าเกมมันเลื่อนกะทันหัน ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ก็เสียเปล่าทันที เหมือนกับคุณจ่ายเงินไปฟรีๆ แต่ไม่มีบอลให้ดู ใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นล่วงหน้าไปแล้ว
เช่นเดียวกับทีมถ่ายทอดสด บริษัทผู้ซื้อลิขสิทธิ์ เขาวาง Year Plan เอาไว้เลย ว่าวันไหน ถ่ายอะไร ต้องเตรียมรถโอบี ล็อกคิวทีมงานฯลฯ ถ้าหากโปรแกรมเลื่อนกะทันหัน ทีมโปรดักชั่นก็ต้องปวดหัวอีก
ลองคิดดูว่า ถ้ามีเคเบิ้ลทีวีของต่างชาติมาซื้อลิขสิทธิ์ไทยลีกไป แล้วเจอสถานการณ์ เดี๋ยวเลื่อน เดี๋ยวเปลี่ยนโปรแกรม ทีวีต่างชาติเขาจะไม่มึนหรอ
Ecosystem ของฟุตบอล ไม่ได้มีแต่สโมสรเตะกัน มันมีองค์ประกอบอื่นด้วย ทั้งแฟนบอล ทั้งทีมถ่ายทอดสด ถ้าปล่อยให้ทำอะไรตามใจแบบนี้ ไทยลีกมันจะโตได้อย่างไร
ไม่ใช่แค่สมาคมเท่านั้น ที่ควรเก็บเรื่องนี้ไปแก้ไข ฝั่งบุรีรัมย์เองก็ต้องพิจารณาว่า การกระทำแบบนี้มันสมควรหรือเปล่า
ถ้าคุณเห็นช่องว่างของกฎ แล้วใช้ประโยชน์จากมัน ขอเลื่อนทุกครั้งที่มีโอกาส โดยอ้างว่า “เราทำตามกติกา”
ไอ้ทำน่ะทำได้ แต่คำถามคือ มันสง่างามหรือไม่?
ในฐานะทีมระดับแถวหน้าของประเทศ คุณต้องสร้างบาร์สูงๆ สร้างมาตรฐานเอาไว้ ว่าเราจะลงเล่นตามโปรแกรมทุกสัปดาห์ เป็นแบบอย่างให้ทุกทีมได้เห็น ว่าเราจะขอเลื่อนต่อเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ ไม่ใช่เอะอะ ก็ขอเลื่อนง่ายๆ แบบนี้
แล้วเอาจริงๆ บุรีรัมย์ตอนไปเจอลำพูน ถ้ากลัวนักเตะเหนื่อย ก็ส่งชุด B ไปก็ได้นี่ เก็บผู้เล่นชุด A ให้สดที่สุด คุณมี Squad ที่ใหญ่ขนาดนั้น มีเยาวชนทีมชาติระดับ u-20 ตั้ง 12 คน ก็โรเทชั่นกันไปสิ ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหนเลย
แล้วถ้าโรเทชั่นแพ้ลำพูนก็แล้วไง แต้มคุณห่างจากอันดับสองตั้ง 7 คะแนน คุณจะเข้าป้ายคว้าแชมป์ไม่ได้เชียวหรือ
สัจธรรมของบอลสโมสร ถ้าอยากได้แชมป์ทุกรายการ คุณก็ต้องมีขุมกำลังที่สมบูรณ์พอ แค่นั้นเอง ไม่ใช่อยากได้แชมป์ทุกรายการ ก็เลยขอเลื่อนเอาเพื่อให้เข้าทางตัวเองมากที่สุด
แน่นอน อาจจะมีคนพูดว่า บุรีรัมย์ก็แค่ขอเลื่อนตามสิทธิ์ ถ้าสโมสรคู่แข่งไม่ยอมเสียอย่าง ใครจะไปทำอะไรได้
แต่เราก็รู้ไม่ใช่หรือ ว่าในประเทศไทย มันมีความพึ่งพา ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอยู่แล้ว ไม่แปลกเลย ที่หลายทีมอยากรักษาความสัมพันธ์อันดีกับทีมใหญ่อย่างบุรีรัมย์เอาไว้ เพราะอนาคตอาจจะซื้อขาย-ยืมตัว นักเตะระหว่างกันก็ได้
นอกจากนั้น ถ้าบุรีรัมย์อ้างว่า ขอเลื่อนเพื่อไปสร้างสัมประสิทธิ์ให้ประเทศ สมมุติอีกทีมปฏิเสธก็จะดูแล้งน้ำใจหรือเปล่า คือบางกรณีมันก็คงตอบปฏิเสธ ยากกว่าตอบตกลง
บทสรุปของเรื่องนี้ จะเป็นการบ้านให้มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ในฐานะนายกสมาคมฯ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยลีก ได้เอาไปแก้ไข เพื่อไม่ให้ความชุลมุนแบบนี้เกิดขึ้นในฤดูกาลหน้าอีกครับ มันควรจะมีกฎเกณฑ์ที่แข็งแรงกว่านี้ ในการจะอนุมัติให้เลื่อนแต่ละครั้ง
เป็นผู้คุมกฎแล้ว อย่าซอฟต์สิครับ หนักแน่นในหลักการหน่อย
ที่ฝรั่งเศส วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม จะมีบิ๊กแมตช์ระหว่างเปแอสเช กับ ลิลล์ ปัญหาคือวันอังคารที่ 5 ลิลล์จะเจอดอร์ทมุนด์ ส่วนพุธที่ 6 เปแอสเช จะเจอลิเวอร์พูล ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของแชมเปี้ยนส์ลีก
เปแอสเช กับ ลิลล์ เลยจับมือกันแจ้งไปที่ บริษัท ฟุตบอลลีกอาชีพฝรั่งเศส (LFP) ขอเลื่อนโปรแกรมวันที่ 1 มีนาคม เพื่อให้ทั้งสองทีม สดทั้งคู่ ก่อนทำศึกใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก
ปรากฏว่า LFP ไม่อนุมัติ เพราะโปรแกรมมันวางไว้แล้ว และทั้งสองทีมก็ต้องแข่ง 1 มีนาคมตามเดิม นี่ล่ะครับ คือความหนักแน่นของผู้ที่ถือกฎอยู่ในมือ
ปีนี้ แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะมันเลื่อนกันมาขนาดนี้จนจบจบลีกอีกแค่ไม่กี่เดือน แต่ก็หวังว่าจะเอาไปทบทวน เพื่อทำให้ไทยลีกซีซั่น 2568-69 มีความสมบูรณ์มากขึ้นกว่าเดิมครับ
ส่วนบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็เอาใจช่วย ให้เข้ารอบไปลึกกว่านี้ ใน ACL Elite เข้าไปเจออัล นาสเซอร์ให้ได้เลยนะครับ คืออุตส่าห์ยอมแลกกับการโดนต่อว่าขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยก็ควรได้ชัยชนะในรายการเอเชียคืนมา มันถึงจะคุ้มค่านะ
แต่การเลื่อนโปรแกรมในฤดูกาลนี้ ก็พอแล้วนะครับ 9 ครั้งเยอะแล้วนะ อย่าให้มีครั้งที่ 10 เลยเนอะ
More Stories
ด้อยค่าระบบหลัง 3 หรือเปล่า “แม็ค ไกวร์” พูดตรงๆ ถึงแนวทาง “อโมริม” ที่ตอนนี้ไม่เวิร์กอย่างแรง
เหล่าแข้ง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด และ เมืองทอง ยูไนเต็ด เดินทางถึงยังสนามบีจี สเตเดี้ยม เป็นที่เรียบร้อย ก่อนทำศึกบิ๊กแมตช์ ไ…
ข่าวดี.! โรดรี้ เริ่มซ้อมเดี่ยวกับทีมได้แล้ว มีลุ้นคืนสนามท้ายซีซั่น